การนึ่งข้าวเหนียวที่บ้านผมทำอยู่มันดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ลึกๆ แล้ว มันมีภูมิปัญญา Tacit Knowledge ฝังซ่อนไว้หลายอย่าง
หลังจากที่ผมกลับไปทำบุญกฐินที่เมืองเลยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่าน
พอกลับเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวง
ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ผมรู้สึกเบื่อหน่ายการใช้ชีวิตการขายแรงงาน
(กรรมกรห้องแอร์) อย่างมากๆ แล้วยิ่งได้อ่านหนังสือโยงใยที่ซ่อนเร้น
ที่แปลโดยวิสิษฐ์ วังวิญญูและคณะ
ผมยิ่งรู้สึกรังเกียจความเป็นทุนนิยมมากขึ้นไปอีก
เราดิ้นรนทำงานหาเงินไปเพื่ออะไร
เพราะเป้าหมายของเราก็คือการกินอยู่ดี มีความสุข หรือ
ถามว่าชีวิตในเมืองหลวงที่ผมมีสถานะการทำงานที่มั่นคงอยู่นี้
กินดีอยู่ดี มีความสุขหรือไม่ คำตอบผมคือ ก็ไม่เชิง เพราะคำว่ากินดี
อยู่ดี ไม่ได้หมายถึงอาหารหรูหรา ราคาแพง อยู่บ้านใหญ่โต คอนโดหรู
แต่เป็นการกินอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน เป็นประโชน์ต่อร่างกาย
ดังคำกล่าว กินยาให้เป็นอาหาร กินอาหารให้เป็นยา
อยู่ร่วมกันในครอบครัวและพึ่งพาอาศัยกันในชุมชนอย่างอบอุ่น
ผมยอมรับว่ามีความสะดวกสบายกว่าชีวิตบ้านนอก
แต่ความสุขต่างกันอย่างมาก
ดังนั้นเราควรจะแยกความสุขกับความสะดวกสบายออกจากกัน
ทุกวันนี้เรามีความสะดวกสบาย มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่าง
แต่มีความสุขลดลง
เพราะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินมาซื้อความสะดวกสบายนั้น
ความคิดของผมเป็นเพียงแค่ความคิดของคนบ้านนอกคนหนึ่งที่มาใช้ชีวิตในเมืองหลวงตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย
จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีโอกาสนำความรู้ความสามารถไปพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนเลย
ภาพจาก
http://www.suan-spirit.com/products_book_more.asp?prod_type=book&code=P-SM-0048-3
ผมรู้สึกว่าความรู้ที่ร่ำเรียนเรียนมา
มันไม่ตอบสนองต่อการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข แต่เป็นการตอบสนอง
การทำงานเพื่อหาเงินมาตอบสนองความต้องการด้านทุนนิยม
ตามการโฆษณาของสื่อต่างๆ เท่านั้น
แต่ความรู้ที่ผมได้จากบรรพบุรุษที่ผมได้เรียนรู้โดยที่ตัวเองไม่รู้สึกว่าเป็นความรู้แปลกปลอมกับชีวิต
เพราะมันคือวิถีชีวิตของคนในชุมชนนั้นๆ
ความรู้ที่ว่านี้มันกลมกลืนอยู่กับการดำเนินชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เรื่องการหุงหาอาหารทำกับข้าว
ผมพบว่ามันมีเทคนิค Tacit Knowledge ที่ฝังอยู่อย่างกลมกลืน
จนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นองค์ความรู้ได้
เพราะเราคุ้นเคยและยกย่องกับความรู้แบบ Explicit Knowledge
ที่อยู่ตามตำรา ตามสถานศึกษา องค์กรการทำงานต่างๆ เท่านั้น
อาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ถึงแม้จะเป็นวัฒนธรรมการกินอยู่จากภาคอิสานเหมือนกัน
แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน
ข้าวเหนียวนึ่งที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่า
ข้าวเหนียวที่ขายตามร้านค้า ร้านอาหารอิสานทั่วไป
มันไม่อร่อยนุ่มลิ้นเหมือนข้าวเหนียวที่บ้านผมนึ่งเอง
มันหาความพอดีไม่ได้ ไม่แข็งก็เละ
การนึ่งข้าวเหนียวที่บ้านผมทำอยู่มันดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ลึกๆ
แล้ว มันมีภูมิปัญญา Tacit Knowledge
ฝังซ่อนไว้หลายอย่างเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการแช่ข้าว (บ้านผมเรียก
“หม่าข้าว”) ข้าวเก่ากับข้าวใหม่ก็ใช้เวลาแช่ไม่เท่ากัน
ถ้าเป็นข้าวเก่าจะต้องแช่เป็นเวลา 4- 6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นข้าวเช้า
เราจะแช่ข้าวกันก่อนนอนแล้วตอนเช้าก็ตื่นขึ้นมานึ่ง
แต่ถ้าเป็นข้าวใหม่แค่ 2-3 ชั่วโมงก็ใช้ได้แล้ว
เพราะถ้าแช่ข้าวไม่ได้ที่ เมื่อนำมานึ่ง ข้าวจะแข็งดูไม่สุก
ข้าวที่แช่ได้ทีบ้านผมเรียกว่าว่าข้าวที่ ”ไหน่” แล้ว
วิธีสังเกตว่าข้าว “ไหน่” แล้วหรือยัง
ให้ลองกำข้าวที่แช่ดูว่าปั้นเป็นก้อนได้หรือไม่
และมีกลิ่นหอมได้ที่แล้วหรือยัง ข้าวที่ไม่ “ไหน่” จะอ่อนนอกแข็งใน
เราเรียกว่าข้าว “หับแหบ”
หม้อนึ่งข้าวใส่หวด
หลังจากที่แช่ข้าวได้ที่แล้ว ก็เป็นขั้นตอนการนึ่งโดยใช้หวด
ในขั้นตอนนี้ก็มีเคล็ดลับวิธีการอย่างที่ทำให้ข้าวนึ่งออกมาดูดี
เริ่มจากการก่อไฟ ต้องให้ไฟลุกได้ที่แล้วค่อยใส่หม้อนึ่งรอจนน้ำเดือด
ปริมาณน้ำที่ใส่ในหม้อนึ่งเราจะใส่เพียง 4/1 หรือ 1/5 ของหม้อเท่านั้น
ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดไฟ แต่ก็ต้องระวังเรื่องน้ำแห้งด้วย
จึงจะใส่หวดเข้าไปได้ มิฉะนั้น ข้าวจะเละ
ถ้าเป็นเตาฟืนต้องสังเกตให้ความร้อนและเปลวไปคงที่ด้วยเพราะเปลวไฟอาจจะลามไปยังหวดข้าวทำให้หวดไหม้และข้าวก็มีกลิ่นไหม้ด้วย
การนำข้าวที่แช่ใส่หวดก็ต้องช้อนใส่ทีละมือ (บ้านผมเรียก “เซอะข้าว”)
ไม่ควรเทใส่ทีเดียวเพราะที่ก้นกะละมังที่เราแช่จะมีเศษกรวดก้อนเล็กๆ
ค้างอยู่ (บ้านผมเรียกว่า “หัด”) ก่อนนำข้าวใส่หวด
ต้องนำน้ำไปราดภายในหวดให้เปียกเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวติดหวด
และหลังจากที่นำข้าวใส่หวดเสร็จแล้ว
ต้องเทน้ำล้างราดข้างในหวดอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าข้าวจะไม่ติดหวดและเป็นการล้างเศษกรวดออกด้วย
หลังจากเทน้ำล้างข้าวภายในหวดแล้ว
ต้องให้น้ำไหลออกจากหวดจนสะเด็ดน้ำเสียก่อน
ก่อนที่จะนำไปใส่ที่หม้อนึ่ง มิฉะนั้น
น้ำที่ออกมาจะตกไปที่น้ำนึ่งหวดทำให้เกิดเป็นยางขาว
และอาจทำให้ข้าวก้นหวดเละได้
ในการนึ่งข้าวสำหรับแต่ละมื้อส่วนใหญ่จะเหลือติดกระติบข้าวอยู่
เราเรียกว่า “ข้าวเย็น” ข้าวเย็นเหล่านี้ ในมื้อต่อๆ
ไปเราก็นำมาอุ่นต่อได้ โดยทำเป็นก้อนเล็กๆ หรือทำให้ละเอียดลง
แล้ววางลงบนข้าวสารที่เรานำไปนึ่ง
วิธีการนี้เราสามารถใช้นึ่งเฉพาะข้าวเย็นก็ได้โดยใช้หลักการเดียวกัน
หลังจากที่นึ่งข้าวจนได้ที่แล้วเราจะต้องมีการกลับด้านของข้าวที่นึ่งให้ทั่วถึง
บ้านผมเรียกว่า “ซิกข้าว”
โดยการจับหูหวดแล้วเขย่าเพื่อให้ข้าวกลับด้าน
วิธีการดูว่าข้าวได้ที่พอที่จะ “ซิก”
ได้หรือยังให้ดูควันของไอน้ำว่าขึ้นมาบนข้าวแล้วหรือยัง
และดูว่าข้าวเริ่มสุก (ใสขึ้น) แล้วหรือยัง บ้านผมเรียกอาการนี้ว่า
“ข้าวขึ้น” แล้วหรือยัง การ “ซิกข้าว”
นี้สำคัญมากเพราะจะทำให้ข้าวสุกเสมอกันเป็นเนื้อเดียว
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะนำข้าวที่นึ่งได้ที่ใส่กระติบข้าว
ก็คือขั้นตอนการ “ส่วยข้าว” โดยใช้ “บมส่วยข้าว”
(ผมเคยเขียนทันทึกเกี่ยวกับเรื่องบมส่วยข้าวไว้ที่ http://gotoknow.org/blog/attawutc/356053)
โดยมีขั้นตอนดังนี้คือ
ให้พรมน้ำที่บมส่วยข้าวให้เปียกทั่วถึงกันเสียก่อนเพื่อป้องกันข้าวติดบม
แต่ห้ามเทนำลงบมส่วยข้าวโดยตรงเพราะจะทำให้ข้าวเปียกน้ำและเละได้
หลังจากนั้นเทข้าวใส่บมส่วยข้าว
แล้วใช้ไม้พายคนและแยกข้าวระหว่างข้าวใหม่และข้าวเก่าออกจากกัน
ซึ่งไม้พายนี้ก็ต้องพรมน้ำให้เปียกเช่นกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวติดพาย
หลังจากที่คนข้าวจนกระทั่งข้าวเย็นตัวลงพอประมาณจนสามารถใช้มือกอบข้าวได้แล้ว
(ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่เกิน 1-2 นาที)
ให้กอบข้าวใส่กระติบข้าวนำไปรับประทานได้
วัตถุประสงค์ของการส่วยข้าวนี้คือ ทำให้ยางข้าวแห้ง
ข้าวที่ส่วยแล้วจะนุ่ม ไม่แข็ง ไม่เละ ไม่แฉะ เก็บไว้ได้นาน
บมส่วยข้าว
การนึ่งข้าวตามภูมิปัญญาบรรพบุรุษยังสอนให้เราใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
นอกจากใช้ปริมาณน้ำในหม้อนึ่งให้เหมาะสมแล้ว
น้ำที่เหลือจากหม้อนึ่งเรานำไปนึ่งผักต่อเพื่อกินกับน้ำพริก
น้ำที่เหลือเราก็ไปคลุกข้าวให้หมากินต่อไปอีก