หน้าแรก
สมาชิก
Mr.CHOBTRONG
สมุด
อ.พิชัย สุขวุ่น
การประกันคุณภาพกา...
Mr.CHOBTRONG
ผศ. สมศักดิ์ สถาบันวิจัยและพัฒนา ชอบตรง
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
การประกันคุณภาพการศึกษากับความวุ่นวายของบ้านเมือง
การประกันคุณภาพการศึกษากับความวุ่นวายของบ้านเมือง
การประกันคุณภาพการศึกษากับความวุ่นวายของบ้านเมือง (ต่อ)
พิชัย
สุขวุ่น
ในคราวที่แล้วได้ชี้ให้เห็นว่าความวุ่นวายของบ้านเมืองเกิดจากการแย่งชิงอะไรบางอย่าง
จนเกิดการขัดแย้งทางการเมือง
และการเมืองก็ส่งผลต่อความสงบในมิติอื่นๆด้วย
ความขัดแย้งของสังคมจึงเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของระบบประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่งระบบการศึกษาควรประกันได้ว่า
การจัดการศึกษาจะไม่เติมเชื้อแห่งการแย่งชิงและความขัดแย้งอย่างไม่สิ้นสุด
เพื่อพิจารณาเกณฑ์ในการชี้วัด
การรับรองมาตรฐานแล้ว
ยังไม่เห็นคำตอบว่าการศึกษา
จะลดการแย่งชิงและความขัดแย้งทางสังคมได้
ดังนั้นจึงมุ่งความสงสัยไปที่วิธีคิดของผู้ควบคุมมาตรฐานของการศึกษา
ควรพัฒนาเกณฑ์ให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาได้จริง
ไม่ใช่เป็นแต่เพียงธรรมเนียมปฏิบัติ
นอกจากนั้นได้เสนอความเห็นเบื้องต้นไปว่า การประกันคุณภาพการศึกษาต้องประกันได้ว่า
จัดการศึกษาแล้วทำให้เกิดความรู้แจ้ง
(
รู้สิ่งสากลที่ไม่เปลี่ยนแปลง
)
ไม่ว่าจะเรียนผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์
สังคม
สิ่งแวดล้อม
หรือศาสนา
ปรัชญา
ก็มีสิทธิเข้าถึงความรู้แจ้งได้
สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่ายังไม่มีความรู้ถึงที่สุด
ก็คือการแย่งชิงสิ่งบางอย่างจนปรากฏเป็นความขัดแย้ง ปะทะกันทุกมิติ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่ายังไม่รู้แจ้ง และเสนอต่อไปว่าต้องประกันให้ได้ว่า
เรากำลังให้การศึกษาชนิดรู้แจ้งกันจริงๆ
มิใช่รู้แต่เพียงจะเอาตัวรอดฝ่ายเดียว
โดยมีการสอนทั้งทฤษฏีและปฏิบัติ
และสามารถตรวจสอบผลของการปฏิบัติได้
ประเด็นสุดท้ายที่เสนอคือ
ผลของการประกันคุณภาพการศึกษาต้องสามารถป้องกันความแย่งชิงสิ่งบางอย่าง
และแก้ไขความขัดแย้งได้ตั้งแต่ระดับตัวเอง
ชุมชน และสังคม การกระทำเช่นนี้ถึงจะประกันคุณภาพของการศึกษาได้จนถึงที่สุด เพราะจะช่วยประกันคุณภาพชีวิตได้ด้วย
และประกันว่ามนุษย์จะไม่เอาเปรียบสิ่งอื่น
ทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นการประกันคุณภาพที่ครอบคลุมทุกมิติ
ไม่ใช่ประกันแต่คุณภาพการศึกษาเท่านั้น
ปัจจุบันเราอาจประกันแค่ขั้นพื้นฐาน คือ มีครูเพียงพอหรือไม่
มีอาคารเพียงพอหรือไม่
มีงานวิจัยได้ตีพิมพ์ระดับนานาชาติหรือไม่ แต่ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตได้
องค์ความรู้ที่ค้นพบใหม่ล่าสุด
อาจเป็นภัยต่อสังคมอย่างถึงที่สุดก็เป็นได้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่มีความรู้ชนิดที่รู้แล้ว
ไม่เป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นๆ ความรู้ที่เราเห็นว่าไม่อันตราย
เพราะเราเคยชินกับสิ่งนี้
พอใจในสิ่งนี้แล้ว
เราก็วนกลับมาแก้ปัญหาจากสิ่งที่เราสร้างขึ้น
เหมือนสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบึงจึงไม่เข้าใจว่าทะเลนั้นมีสภาพเช่นไร
ในครั้งนี้
จะเสนอหลักในการประกันคุณภาพการศึกษาอีก 3
ประเด็นคือ
1
) ลดความไม่รู้ และเพิ่มความรู้ที่เรียกว่ารู้จริง 2) แสดงให้เห็นว่าการสร้างหลักประกันคุณภาพคือการลดส่วนเกิน แล้วจะพบหลักประกันซึ่งเป็นกฎอยู่เดิม และ 3) กระบวนการประชาสัมพันธ์ต่อสังคมไม่ควรอ้างอิงระบบตลาด (ทุนนิยม)
1. ลดความไม่รู้และเพิ่มความรู้
การเพิ่มความรู้แจ้ง
และลดความไม่รู้ การทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะมีผลพอกัน คือทำให้รู้จริงมากขึ้นซึ่งจะสอดคล้องกับข้อที่สอง
ที่จะแสดงให้เห็นว่าความรู้แจ้งมีอยู่แต่เดิมแล้ว
ในภาวะที่การศึกษาถูกพัฒนามากว่า
200
ปี นับตั้งแต่การศึกษาแยกออกจากคำสอนทางศาสนา
มหาวิทยาลัยดังๆของโลกก็ล้วนแยกออกจากศาสนจักรทั้งสิ้น
แม้แต่ทางตะวันออกก็เช่นเดียวกัน
ปัญหาของการศึกษาก็เริ่มก่อปัญหาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาและผลของการจัดการศึกษา ก็เป็นปัญหาสำหรับการพัฒนาตลอดมา
ในระยะหลังการศึกษากับทุนนิยมผนวกกันเหนียวแน่น การศึกษาจึงตกเป็นเครื่องมือของการทำกำไรชนิดหนึ่งของนายทุนไปอย่างสมบูรณ์ ส่วนลักษณะเฉพาะของทุนนิยมมันจะร้ายกาจเพียงใดไม่ต้องกล่าวถึงในที่นี้ แต่ถ้าเรามองความร้ายกาจเป็นโอกาสที่ได้ทบทวนผลเสียเหล่านั้น
ก็เกิดโอกาสในการกลับความคิดได้เช่นเดียวกัน
เมื่อการศึกษาก้าวพ้นจากศาสนจักร ก็ได้เพิ่มพูนความไม่รู้เพิ่มขึ้น
ความไม่รู้นั้นปรากฏในรูปของการเอาเปรียบสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งระบบประกันคุณภาพในปัจจุบันก้าวไปไม่ถึงปัญหาของการศึกษา
ความรู้จึงมีสภาพเป็นกงจักรหาใช่ดอกบัวไม่
เพราะมันได้หล่อหลอมให้สังคม เราเป็นสังคมแห่งการแย่งชิง เอาเปรียบได้แม้กระทั้งตัวเอง
(
โดยไม่รู้ตัว
)
สิ่งที่ระบบประกันคุณภาพการศึกษาต้องทำคือ
ลดการเพิ่มพูนของความรู้ชนิดนี้
และสิ่งต้องเพิ่มคือ
เพิ่มความรู้ด้านจริยธรรม
แล้วค่อยยกระดับไปสู่การเข้าใจวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต จริยธรรมทำให้ลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้ ปัจจุบันเราใช้การเพิ่มกฏหมายหลาย ๆ ฉบับ เพื่อรักษากฏกติกาทางจริยธรรมเอาไว้ แต่การใช้กฏหมายมีข้อยุ่งยาก หลายประการ การออกกฏหมายมีทั้งแง่ดีและแง่ร้ายๆ ปะปนกันไป ดังนั้นหากมีกฎหมายเป็นจำนวนมาก
แสดงให้เห็นว่าจริยธรรมได้ลดลง จริยธรรมจึงเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตหากขาดจริยธรรมแล้ว ชีวิตส่วนตัวก็เอาไม่รอด การสร้างจริยธรรมนั้นประหยัดกว่า การสร้างระบบป้องกัน และควรสร้างหลักประกันโดยทำให้การจัดการศึกษาหลุดจากระบบทุนนิยม และเพิ่มจริยธรรมในทุกมิติของการจัดการศึกษา ด้วยลักษณะเช่นนี้จึงพอจะมองเห็นหนทางของการลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้
2. การลดส่วนเกินแล้วจะพบหลักประกันที่มีอยู่แต่เดิม
การเสนอแนวทางในข้อแรกเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ส่วนข้อที่สอง เสนอว่า การประกันคุณภาพการศึกษานั้นมีอยู่แล้ว พร้อมกับการเรียนรู้ของมนุษย์ การเรียนรู้นี้ไม่ได้หมายถึงในมหาวิทยาลัยอย่างเดียว แต่ หมายถึง สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเกิดการเรียนรู้ทั้งสิ้น เพิ่งมาตอนหลังที่เราเข้าใจเอาเองว่าความรู้ ต้องอยู่ในสถานศึกษา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียนรู้จากสิ่งรอบตัว และเอาชีวิตรอดเพราะธรรมชาติ หรือ สิ่งรอบตัวนั้นสอนให้ ใครมีความรู้เกินคนอื่น ๆ หน่อย
ก็โดยการรวบรวมจากธรรมชาตินั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์ หรือ ศาสดา ก็เกิดขึ้นด้วยกระบวนการเช่นนี้ สิ่งที่เรียกว่า สิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติได้แสดงหลักประกันไว้แต่เดิมแล้ว ก็คือกฎของธรรมชาติ
ซึ่งเป็นหลักประกันว่าเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
นักวิทยาศาสตร์นั้นอาศัยกฎนี้ในการประดิษฐ์วัตถุเพื่อความอยากรู้และประโยชน์ใช้สอย แต่ก็ไปไม่ไกล
เพราะวิทยาศาสตร์บางส่วนกลับมาแว้งกัดเจ้าของผู้คิดค้น
เลยต้องรื้นฟื้นจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์อย่างเร่งด่วน นี่ก็เรียกว่าความรู้แบบไม่รู้อีกชนิดหนึ่ง ส่วนกฎของธรรมชาติที่เรียกว่า ความรู้สึก การรับรู้ หรือ สภาพจิต สิ่งนี้จะเป็นหลักประกันคุณภาพการศึกษาอย่างมั่นคงที่สุด เพราะสภาพจิตจะเป็นเครื่องมือในการบังคับการกระทำทั้งปวง และ สภาพจิตเดิมแท้ ที่จะไม่ถูกสร้างสรรค์ด้วยความต้องการแบบต่าง ๆ อยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่สุด และ เป็นสภาพเดิมแท้
ก่อนที่มนุษย์จะมีจินตนาการ
การประกันหรือควบคุมสภาพจิตได้
คือหัวใจทั้งหมดของการประกันคุณภาพการศึกษา อย่างน้อยก็ประกันได้ว่าจะไม่มีความคิดที่จะเอาเปรียบหรือแย่งชิง
ด้วยอำนาจของความไม่รู้
ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าระบบการศึกษา
มีระบบป้องกันความไม่รู้ คือสภาพเดิม ที่ไม่มีความรู้สึกจะเอาเปรียบใคร
มนุษย์เพิ่งจะมีความรู้สึกที่จะต้องการสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาตอนหลัง เดิมทีทุกคนเป็นมีภูมิคุ้มกันอยู่เป็นพื้นฐาน การลดความต้องการที่เกิดขึ้นภายหลัง ก็หมายถึงลดสิ่งที่ทับถมอยู่ในระบบ
การประกันคุณภาพการศึกษา
หากกระทำเช่นเดียวกับการเพิ่มกฎหมายให้มากขึ้น เพื่อให้ สังคม
มีระเบียบวินัย เราก็จะเพิ่มมาตรฐานและตัวชี้วัดกันอย่างไม่จบสิ้น
หากคราวนี้มีมหาวิทยาลัยผ่านเกณฑ์เป็นจำนวนมากแต่สังคมและความขัดแย้งยังเพิ่มขึ้น คนยังมีความทุกข์เพิ่มขึ้น เราก็เพิ่มเกณฑ์ให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกฎหมาย สุดท้ายก็ถึงทางตันไม่รู้จะเพิ่มให้สูงขนาดไหน นั่นแสดงว่าความรู้แบบไม่รู้แจ้งมันแก้ไขตัวมันเองไม่ได้ ความมืดนั้นใช้แก้ไขความมืดไม่ได้ผล
ถ้าหากจะสร้างเกณฑ์ก็ควรเป็นไปเพื่อลดสิ่งที่ทับถมอยู่ เพื่อเข้าใจสภาพเดิม มิใช่เพิ่มจนรุงรัง
ฉะนั้น ลองกลับด้านบ้าง แทนที่จะเน้นที่เครื่องมือระวังป้องกัน กลับมาเน้นที่ต้นตอของปัญหา คือความรู้สึกในตัวมนุษย์
สถาบันการศึกษาจึงต้องสอนความเป็นมนุษย์
ประกันความเป็นมนุษย์และรื้นถอน ความไม่รู้ที่ทับถมอยู่เป็นเวลานาน
(
ทุนนิยม
)
และให้เชื่อมั่นว่าใช้ความไม่รู้
แก้ไขความไม่รู้ไม่ได้ หลักประกันคุณภาพการศึกษา คือ การรู้ความจริงว่า
เพียงแต่หยุดความต้องการที่ไม่จำเป็น หยุดความเห็นแก่ตัว โดยเห็นว่าสิ่งนี้เป็นภัยร้าย ต่อตัวเองและสังคม เพียงเท่านั้น หลักประกันคุณภาพการศึกษาก็จะเกิดขึ้นเอง และ ธรรมชาติได้สร้างหลักประกันไว้เรียบร้อยแล้ว มนุษย์ที่ไม่รู้แจ้งนั่นเอง
ที่ทำให้ระบบมันยุ่งยากไปหมด และกำลังสร้างระบบใหม่ทับถมลงไปอีกชิ้นหนึ่ง
จนมองไม่เห็นสภาพเดิมของการศึกษา
สภาพเดิมในที่นี้
คือ ความรู้ที่ยังไม่จินตนาการว่าจะเอาชนะธรรมชาติ
ความรู้ชนิดที่ต้องอาศัยการลดความต้องการเสียก่อน
ถึงจะเข้าถึงได้
3.
กระบวนการประชาสัมพันธ์ที่อ้างอิงอยู่กับระบบตลาด
เหตุผลนี้แสดงวิธีคิดของผู้สร้างมาตรฐานอย่างชัดเจน โดยแสดงขั้นสุดท้ายของระบบการรับรองมาตรฐานโดยการประกาศให้สาธารณชนทราบว่า
มหาวิทยาลัยใดบ้างผ่านเกณฑ์มาตรฐาน โดยผู้ดำเนินการหวังว่าจะเป็นมาตรการชั้นดีที่ทำให้มหาวิทยาลัย ทั้งหลายต้องกระตือรือร้น เพราะกลัวจะเสียลูกค้า นั่นแสดงให้เห็นว่า การศึกษากลายเป็นทุนนิยมอย่างชัดเจน แสดงว่าการจัดการศึกษาต้องเอาใจตลาด
มากกว่าการยืนยันความรู้ที่เป็นสากล
หารู้ไม่ว่าระบบตลาดมีนักลงทุนจำพวกหนึ่งคอยกำหนดทิศทางการตลาด
ให้เคลื่อนไหวตามที่เขาต้องการ อาจจะอ้างองค์การการค้าโลกก็ได้
การกำหนดนโยบายของการศึกษาก็เคลื่อนไหวตามระบบตลาดเช่นเดียวกัน
ปรากฏการณ์เช่นนี้ก็ทำให้เราเข้าใจว่าความรู้มีอยู่แต่ในระบบตลาดจน
เราไม่สามารถยืนยันความรู้ ชนิดจริงแท้ได้ แค่การเคลื่อนไหว
ความไม่แน่นอน
ก็แสดงอยู่ชัดแจ้งแล้วว่ามันมิใช่ความจริง เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ขึ้นอยู่กับการผสมผสานของปัจจัยต่าง ๆ และความจริงก็อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลงนั้น นี่แสดงว่าระบบตลาดมีอิทธิพลต่อการศึกษาชนิดที่ อยู่เหนือความถูกต้อง
หากเป็นเช่นนี้
เราก็ต้องปรับระบบการศึกษาให้ตรงกับระบบตลาดอย่างไม่สิ้นสุด
แทนที่จะแสดงความจริงเหนือระบบที่ไม่แน่นอนนี้
เขียนใน
GotoKnow
โดย
Mr.CHOBTRONG
ใน
อ.พิชัย สุขวุ่น
คำสำคัญ (Tags):
#การประกันคุณภาพการศึกษากับความวุ่นวายของบ้านเมือง
#(ต่อ)
หมายเลขบันทึก: 40599
เขียนเมื่อ 24 กรกฎาคม 2006 13:36 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:26 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
Mr.CHOBTRONG
สมุด
อ.พิชัย สุขวุ่น
การประกันคุณภาพกา...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท