ช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 16 ก.ย.48 ท่านอธิการบดีเรียกประชุมรองอธิการบดีนัดพิเศษ เพื่อแบ่งงาน แบ่งความรับผิดชอบกันใหม่ อันเนื่องมาจากการเสียชีวิตของท่านรองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรม (รศ.เฉลิม พงศ์อาจารย์) ตามที่ผมเคยเขียนอาลัยรักไว้ (Link)
สรุปภาพรวม ๆ ของผลการประชุมคือ จะไม่มีการตั้งรองอธิการบดีใหม่ขึ้นแทน แต่ได้มีการแบ่งงานเดิมของท่านรองเฉลิม ไปให้กับท่านรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต (ผศ.ชาลี ทองเรือง) และท่านรองอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย (ผศ.สุรพล ภานุไพศาล) เพื่อให้ช่วยกันแบ่งความรับผิดชอบต่อไป
หลังเลิกประชุม ท่านรองชาลีได้มาขอรายละเอียด KPI ด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของ สมศ. และ กพร. จากผม และแสดงความคิดเห็นว่า นี่เป็นเรื่องแรกที่ควรศึกษา และเป็นขั้นต่ำสุดที่จะต้องเร่งคิด เร่งทำ เร่งดำเนินการ สิ่งนี้เป็นตัวกระตุ้นความหวังของผมขึ้นมาอย่างแรงอีกครั้ง เกี่ยวกับความพยายามที่จะต้องช่วยกันพัฒนาให้ มน. เป็น Top ten มหาวิทยาลัยไทย ให้ได้ภายในปี 2552 ตามที่ท่านอธิการบดี (รศ.ดร.มณฑล สงวนเสริมศรี) ได้เคยตั้งเป้าหมายไว้ตอนเข้ามารับตำแหน่งอธิการบดี
ถ้าผู้บริหาร มน.ทุกระดับ ทุกท่าน คิดและทำทำนองเดี่ยวกันกับท่านรองชาลี ผมว่าเป้าหมายการเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดมหาวิทยาลัยไทยคงไม่ไกลเกินฝัน
วิบูลย์ วัฒนาธร
การตั้งคำถาม เรื่องการรับนิสิตจำนวนมากเกินไปนั้น นับว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจในสถานภาพของมหาวิทยาลัยที่ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้เป็นไปอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น
การกระจายโอกาสทางการศึกษา เป็นสิ่งที่ต้องทำและต้องรีบดำเนินการ ซึ่งหลายภาควิชาได้เร่งดำเนินการเปิดหลักสูตรเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว เพื่อตอบสนองนโยบายของมหาวิทยาลัย ทำให้บางครั้งเราเองต้องแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ในเรื่องของความพร้อมและขีดจำกัดของทรัพยากรที่คณะมีอยู่ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้จะมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทุกสายงานในคณะ
ในมุมมองของผู้บริหารนั้น มักจะเป็นมุมมองที่แต่ต่างกับระดับผู้ปฏิบัติตามนโยบาย ถ้ามองในเรื่องหลักสูตรที่ตนเองยังอยู่ในสภาพที่มีทรัพยากรไม่เพียงพอ และพยายามเปิดหลักสูตรใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม เพื่อที่วิ่งตามกระแสให้ทันนั้น ควรคิดให้รอบคอบมากขึ้นและไม่น่าจะดำเนินการอย่างรีบร้อน
นอกจากนี้ การที่อาจารย์มีภาระงานสอนมากเกิน จะไม่เป็นการส่งเสริมการทำหน้าที่หลักของอาจารย์หรือครับ ที่ว่า "หน้าที่หลักของอาจารย์ไม่ใช่การสอนแต่เป็นการเรียนรู้และการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุด คือ การเรียนรู้จาก “ข้อมูลปฐมภูมิ” (Primary Data) ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้จากการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเอง นำมาวิเคราะห์แยกแยะและสังเคราะห์ขึ้นเป็นองค์ความรู้ใหม่ โดยดำเนินการเป็นกระบวนการที่มีระบบ คือ การสร้างองค์ความรู้หรือการวิจัยนั่นเอง" (ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช; หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ปีที่ 9 ฉบับที่ 2795 (105) 16 พ.ค.39 พิเศษ 6)
ในปัจจุบันนี้ ม.นเรศวรจำเป็นหรือไม่ ที่ต้องมีหลักสูตรให้ครบหรือคลอบคลุมทุกสาขาวิชา หรือเพียงต้องการแย่งกลุ่มลูกค้ามาจากสภาบันอื่นก่อน (ที่เปิดวิทยาเขตกระจายเกือบทั่วประเทศ) เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่องค์การ สำหรับสถาบันการศึกษานั้นมีวัฒนธรรมและเป้าหมายในการสร้างผลผลิตที่แตกต่างกับบริษัทแสวงผลกำไรอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามการเปิดหลักสูตรเพิ่มก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำในอนาคต เมื่อมีความพร้อมอย่างน้อยก็ด้านบุคลากร (ที่มีอยู่และกำลังจะสำเร็จการศึกษา)
หลายปีมาแล้ว บุคลากรในมหาวิทยาลัยมักจะได้ยินคำว่า ความเป็นเลิศทางวิชาการ อยู่เสมอ จะดีกว่าหรือไม่ที่มหาวิทยาลัยควรเพิ่มบรรยากาศเพื่อสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการในสาขาที่มีอยู่แล้ว การสนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรทุกสายงาน ที่ไม่ใช่เฉพาะสายอาจารย์เท่านั้น มีส่วนร่วมและส่งเสริมในระบบการเรียนการสอนและการทำวิจัย ซึ่งนั่นก็คงเป็นแนวทางที่หลายมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการอยู่
สำหรับการตั้งเป้าหมายเพื่อเป็น Top ten มหาวิทยาลัยไทย ของม.นเรศวรในระยะเวลาที่กำหนดนั้น เป็นไปได้มาก เนื่องจากที่ผ่านมาผลงานของทั้งนิสิตและบุคคลากรในมหาวิทยาลัยได้แสดงสู่สังคมไว้แล้ว และเป็นที่ยินดีที่ปัจจุบันบุคลากรสายวิชาการสนใจที่จะทำวิจัยมากขึ้น หลังจากนั้นความภูมิใจกับตัวเลขการจัดอันดับจะมากน้อยแค่ไหน ก็เป็นสิ่งรู้กันดีอยู่แก่ใจของแต่ละคน
ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นก็มีเป้าหมายเช่นเดียวกัน ทำให้การคงสถานภาพเพื่อเป็น Top ten มหาวิทยาลัยไทย หรือก้าวให้สูงขึ้น เป็นสิ่งที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันของบุคลากรทุกคน ผมคิดว่าคณะผู้บริหารทุกระดับควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายหรือแผนต่างๆ ระหว่างระดับสายงาน เนื่องจากจะทำให้ความขัดแย้งทางความคิดระหว่างผู้บริหารและผู้ปฏิบัติลดลง เป็นผลให้บุคลากรในหน่วยงานเกิดความเต็มใจ มีแรงจูงใจและเกิดความรักในการทำงานเพื่อองค์การมากขึ้น ฉะนั้นโอกาสที่จะก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว
อ่านแล้วงงๆ ครับ
ในปัจจุบันนี้ ม.นเรศวรจำเป็นหรือไม่
ที่ต้องมีหลักสูตรให้ครบหรือคลอบคลุมทุกสาขาวิชา
หรือเพียงต้องการแย่งกลุ่มลูกค้ามาจากสภาบันอื่นก่อน
(ที่เปิดวิทยาเขตกระจายเกือบทั่วประเทศ)
เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่องค์การ
สำหรับสถาบันการศึกษานั้นมีวัฒนธรรมและเป้าหมายในการสร้างผลผลิตที่แตกต่างกับบริษัทแสวงผลกำไรอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตามการเปิดหลักสูตรเพิ่มก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำในอนาคต
เมื่อมีความพร้อมอย่างน้อยก็ด้านบุคลากร
(ที่มีอยู่และกำลังจะสำเร็จการศึกษา)
สรุปว่าตอนนี้ มน.
แตกต่างจากบริษัทที่แสวงหากำไรยังไงครับ
ผมอยากร่วม ลปรร.ด้วย เมื่อเห็นข้อคิดเห็นนี้วนกลับมาอีกรอบ (พลาดไปตอนข้อคิดเห็นที่ 1-2) ดังนี้ครับ
1. การรับนิสิตจำนวนมากของมหาวิทยาลัย (ไม่ว่าที่ใด) ผมคิดว่าสงสารคนชายขอบ ที่ขาดโอกาสเถอะครับ ยังมีอีกมากมาย ท่านมีโอกาสแล้ว ก็ขอได้นึกถึงเขาบ้าง เมื่อมหาวิทยาลัยของรัฐไม่รับ ก็เหลือทางเลือกไม่มากนักหรอก (ไม่คิดม.รามฯ กับ มสธ.) ก็คงเป็นเอกชน คนจน ๆ จริง ๆ เข้าไม่ถึงครับ ยังไงของรัฐก็ยังมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า นี่เขียนถึงเพื่อเรียกหาความเป็นธรรมในระบบการศึกษาของสังคมครับ แต่ถ้าท่าน (นิสิต) จะบอกว่าช่วยไม่ได้ที่เกิดมาจน ผมก็ยอมครับ
2. ประสิทธิภาพ คุณภาพ และความเป็นธรรม เป็นสิ่งที่อยู่คนละมุมกัน เหมือนตาชั่งจีน การทำให้สมดุลเป็นเป้าประสงค์สูงสุด จึงไม่ได้หมายความถึงจะต้องมี ประสิทธิภาพที่สุด คุณภาพที่สุด และความเป็นธรรมที่สุด อย่างใดอย่างหนึ่งได้ หรือ คู่ใดคู่หนึ่งได้ หรือแม้แต่ทั้ง 3 ส่วนนี้ ...ที่สุดพร้อมกัน ท่ามกลางทรัพยากรที่มีความขาดแคลน (limited) ที่เกิดขึ้นจริง {ขอใช้คำนี้ตามความหมายทางเศรษฐศาสตร์ครับ}
3. ผมเชื่อว่า "มน. กับเป้าหมายการเป็น Top ten มหาวิทยาลัยไทย" เป็นการตั้งเป้าหมายเพื่อ ความสมดุลของประสิทธิภาพ คุณภาพ และความเป็นธรรม จึงกำลังใจให้ทุกท่าน
ปล. การที่นิสิตตั้งคำถามได้ลึกขนาดนั้น จึงบ่งบอกถึงคุณภาพการศึกษาของ มน.ได้ส่วนหนึ่งครับ เพียงแต่ต้องดูน้ำหนักของคำ และภาษาที่ใช้นิดนึง (ข้อคิดเห็นที่ 1) สำหรับผมแล้ว เจ้าของ blog ทราบได้โดยไปดูที่ E-mail และ website ครับ
เรียน ทีมงาน มน
ดีใจครับที่ มน.มีเป้าหมายชัดเจน ที่จะเป็น Top Ten U in Thailand.
ให้กำลังใจครับ อย่าท้อถอยครับ "ทีมงาน ม.นเรศวร"
JJ