shukur2003


ทั้งนี้ด้วยการเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงที่จะเกิดจากการนั้นทั้งแง่ในการดำเนินคดีและในทางการแพทย์เมื่อเปรียบเทียบกับความเสื่อมเสียเกียรติที่จะเกิดแก่ศพ แต่การอนุโลมให้ทำการชันสูตรศพเป็นการอนุมัติในกรณีพิเศษเฉพาะในกรณีจำเป็นจริงๆ และได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองของศพ ทั้งการชันสูตรจะต้องเอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้รู้ทางศาสนาอิสลามและการปฏิบัติต้องเป็นไปอย่างนิ่มนวลละมุนละไม ให้ความเคารพและเกียรติศพพร้อมทังต้องระมัดระวังไม่กระทำใดๆอันเป็นการลบหลู่เกียรติยศของศพและเมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรแล้วให้รีบรวบรวมชิ้นส่วนของศพทั้งหมดเพื่อนำไปฝังตามหลักการศาสนา
การชันสูตรศพในมุมของนักวิชาการโลกมุสลิม : กรณีศึกษา การตายที่ไม่ปกติที่ชายแดนใต้ พิมพ์ ส่งเมล์
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2006 14:12น.

เรียบเรียงโดยอ.อับดุชชะกูร์ บิน ชาฟิอีย์ ดินอะ( อับดุลสุโก ดินอะ  )
[email protected] 
ผช.ผจก.ร.ร.จริรยธรรมศึกษามูลนิธิ อ.จะนะ จ.สงขลา

thumb_ga.jpg            ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนามุฮัมมัดและละผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

            การชันสูตรศพของมุสลิมที่เสียชีวิตตามปกติแน่นอนตามหลักศาสนาอิสลามย่อมทำไม่ได้เพราะตามหลักศาสนาตั้งบนพื้นฐานการให้เกียรติและคุ้มครองคุณค่าอันสูงส่งของความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ในช่วงแห่งการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในสภาวะไร้วิญญาณเหลือแต่เพียงเรือนร่างเปลือยเปล่าที่อาจดูไม่งามตานัก  ศาสนาอิสลามก็ยังคงถือว่า เกียรติยศและความประเสริฐในการเป็นมนุษย์ยังคงมีอย่างสมบูรณ์

             กฎเกณฑ์ต่างๆในการปฏิบัติต่อผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำศพ  การห่อ การละหมาดขอพรและการฝังศพจึงได้บัญญัติขึ้นเป็นหน้าที่ (ฟัรดูกิฟายะฮฺตามหลักศาสนา)ในชุมชนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ในการจัดการศพที่ได้เสียชีวิตตามขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม   

             นอกจากนั้นในการจัดการศพทุกขั้นตอน จะต้องคอยระมัดระวังมิให้กระทบกระเทือนหรือเกิดอันตรายต่อศพ  ต้องให้เกียรติต่อศพตามความเหมาะสมภายใต้เจตนารมณ์ของพระเจ้าดังที่พระองค์ได้ดำรัสความว่า

             “และเรา(พระเจ้า)ได้ให้พวกเขา(มนุษย์)เลอเลิศเหนือกว่าสรรพสิ่งอันมากมายที่เราได้ดลบันดาลอย่างล้นเหลือ” ( อัลกุรอาน : บทอัลอิสรออฺ : ประโยคที่ 70 )

             ตามหลักศาสนาต้องรีบจัดการศพและห้ามมิให้เก็บศพไว้นานเพราะท่านศาสดามุฮัมมัดได้ตรัสว่า “เมื่อมีบุคคลหนึ่งเสียชีวิต เจ้าจงอย่าอย่ากักขังศพ ทว่าจงรีบนำศพสู่หลุมฝังศพโดยเร่งด่วน”   (วจนะศาสดามุฮัมมัด : บันทึกโดยอิม่ามอัฏฏอบรอนีย์)

             นี่คือหลักการเกี่ยวกับศาสนาเกี่ยวกับการจัดการศพปกติ  แต่ในกรณีที่ต้องการหรือมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการชันสูตรศพเพื่อพิสูจน์การฆาตกรรม  การเปิดโปงความอยุติธรรมเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและข้อกังขาของญาติและสังคมอย่างเช่นศพ  85 ศพในกรณีการประท้วงที่ตากใบและเหตุการณ์การเสียชีวิตต่างๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่สงบนั้นนักวิชาการอิสลามมีทรรศนะอย่างไร? 

             และผู้เขียนมั่นใจว่าจะต้องมีผู้ต้องการรู้อย่างแน่นอนว่า นักวิชาการของโลกอิสลามยุคใหม่จะมีทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร?

             ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการชันสูตรศพมีดังต่อไปนี้(1)

             1. ความหมายของการชันสูตรศพ

             การชันสูตรศพ หมายถึง การตรวจศพว่าผู้ตายเป็นใคร ตายเพราะเหตุใด พฤติกรรมแห่งการตายเป็นอย่างไรและเมื่อมีความจำเป็นเพื่อพบเหตุของการตาย เจ้าพนักงานผู้ทำการชันสูตรพลิกศพมีอำนาจสั่งให้ผ่าศพและแยกธาตุได้หรือจะส่งทั้งศพหรือบางส่วนไปยังแพทย์หรือพนักงานแยกธาตุฃองรัฐก็ได้( ป.วิ.อาญา มาตรา151) ถ้าฝังศพแล้ว กฎหมายให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ จัดให้ขุดศพขึ้นเพื่อตรวจดูได้เว้นแต่จะเห็นว่าไม่จำเป็นหรือจะเป็นอันตรายแก่อนามัยของประชาชน ( ป. วิ. อาญา มาตรา 153 )

            2. หลักฐานจากอัลกุรอานและวจนะศาสดาเกี่ยวกับการชันสูตรศพ

             จากการศึกษาทั้งคัมภีร์อัลกุรอานและวจนะศาสดาเกี่ยวกับการชันสูตรศพ ปรากฏว่าไม่พบหลักฐานใดๆที่ระบุชัดเจนถึงการห้ามหรืออนุมัติในการการชันสูตรศพ อีกทั้งยังไม่พบหลักฐานใดๆยืนยันแน่ชัดว่ามุสลิมยุคแรกทำการชันสูตรศพเหมือนที่เป็นอยู่ในสมัยปัจจุบัน
3. ตำราศาสนาของปราชญ์อิสลามในอดีตเกี่ยวกับการชันสูตรศพ

             จากการศึกษาทั้งตำราศาสนาของปราชญ์อิสลามในอดีตเกี่ยวกับการชันสูตรศพ ปรากฏว่าไม่พบหลักฐานใดๆที่ระบุชัดเจนถึงการห้ามหรืออนุมัติในการการชันสูตรศพ แต่เราจะพบทรรศนะของบรรดานักปราชญ์ด้านนิติศาสตร์อิสลามเกี่ยวกับสองกรณี   กรณีที่หนึ่งการผ่าศพหญิงมีครรภ์(ที่เสียชีวิต)เพื่อเอาทารกที่ยังมีชีวิตอยู่ในครรภ์ออกมาและอีกรณีหนึ่งคือการผ่าท้องศพเพื่อเอาทรัพย์เงินทองบางอย่าง ที่เขาได้กลืนเข้าไปก่อนตายออกมาคืนแก่ผู้เป็นเจ้าของ

             3.1 ทัศนะของบรรดานักปราชญ์ด้านนิติศาสตร์อิสลามสำนักคิดต่างๆเกี่ยวการผ่าศพหญิง
                    ก.สำนักคิดฮานาฟี

             นักปราชญ์สำนักคิดนี้เช่น อิม่ามอิบนุ อาบิดีน และกลุ่มนักปราชญ์แห่งประเทศอินเดียมีทัศนะว่าศาสนาอนุโลมเกี่ยวกับทั้งสองกรณีไม่ว่ากรณีที่หนึ่งที่ให้ผ่าท้องเพื่อช่วยเหลือทารกได้ เพราะการช่วยชีวิตทารกมีความสำคัญและจำเป็นยิ่งกว่าการให้เกียรติ   ส่วนกรณีที่สองก็เป็นที่อนุโลมเช่นกันเพราะการผ่าศพเพื่อเอาทรัพย์ของผู้อื่นคืนเจ้าของเป็นสิ่งจำเป็นกว่าและศพเองได้ทำลายเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเองให้เสื่อมเสียไปแล้วแต่ อิบนุอัลนะญีม  มีความคิดแย้งในกรณีที่สองเพราะความมีเกียรติของศพมีค่ากว่าทรัพย์(2)

                      ข.สำนักคิดมาลิกี

             นักปราชญ์สำนักคิดนี้เช่นอิม่าม ซะฮฺนูนและอับดุลวะฮฮาบมีทัศนะว่าศาสนาอนุโลมเกี่ยวกับทั้งสองกรณี แต่ท่านอิม่ามอับดุลวะฮฮาบได้วางเงื่อนไขว่าทารกจะต้องมีอายุครบ 7 เดือนและแพทย์มั่นใจว่าเมื่อผ่าแล้วเด็กจะต้องปลอดภัย   ส่วนท่านชัยคฺอุลัยชฺกลับมีความคิดเห็นไม่อนุญาตในกรณีที่หนึ่งเพราะท่านมองว่า ความไม่แน่นอนว่าเด็กจะปลอดภัยหรือไม่ ด้วยความไม่แน่นอนดังกล่าวการผ่าท้องอาจถือได้ว่าเป็นการทำลายเกียรติยศของศพและเป็นเสมือนการกักศพไว้ ห้ามมิให้นำศพไปฝังอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นการค้านกับวจนะศาสดา(3) เพราะท่านศาสดามุฮัมมัดได้ตรัสว่า “เมื่อมีบุคคลหนื่งเสียชีวิต เจ้าจงอย่าอย่ากักขังศพ ทว่าจงรีบนำศพสู่หลุมฝังศพโดยเร่งด่วน”   (วจนะศาสดามุฮัมมัด : บันทึกโดยอิม่ามอัฏฏอบรอนีย์)

                     ค.สำนักคิดชาฟิอีย์ (มุสลิมส่วนใหญ่ในประเทศไทยยึดสำนักคิดนี้เป็นแนวปฏิบัติ)

             เหล่านักปราชญ์ของสำนักคิดนี้เช่นท่านอิบนุหะญัร ,นาวาวีย์ และคอเต็บ อัรชัรบีนีย์ มีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า อนุญาตให้ผ่าท้องศพสตรีมีครรภ์ หากคาดหมายว่าทารกในท้องยังมีชีวิตอยู่และสามารถนำออกมาได้อย่างปลอดภัย   ยิ่งไปกว่านั้นท่านชัยคฺอิบนุหะญัรกล่าวว่า “เป็นสิ่งจำ เป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น”

             และท่านคอเต็บ ชัรบีนีย์มีความคิดเห็นยืนยันว่าแม้ศพสตรีได้ถูกฝังไปแล้วหากคาดหมายว่าทารกยังชีวิตอยู่และมีอายุเกินกว่า 6 เดือนขึ้นไปให้ขุดศพและผ่าท้องศพนั้นเพื่อเอาทารกในครรภ์ออกมาเพราะการดำเนินการเช่นนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อศพก่อนที่จะฝังเสียอีก แต่หากไม่คาดหวังว่าทารกจะยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องขุด     ในกรณีของการกลืนทรัพย์ก็เช่นเดียวกับการอนุโลมการขุดศพและผ่าท้องได้หากศพได้ถูกนำฝังก่อนผ่าเอาทรัพย์ออก(4)

                     ง.สำนักคิดซอฮิรีย์ นักปราชญ์นิติศาสตร์สำนักคิดนี้ได้อนุโลมการผ่าท้องทั้งสองกรณี(5)

                     จ.สำนักคิดฮัมบาลีย์

             บรรดานักปราชญ์ในสำนักคิดนี้มีทัศนะที่แตกต่างกันเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องฃองการผ่าท้องศพสตรีที่มีครรภ์โดยท่านสุไลมาน อัลมักดีชีย์ กล่าวว่า เมื่อหญิงมีครรภ์ ถึงความตายให้ผ่าท้องของนางเพื่อเอาทารกในครรภ์ออกมา หากคาดหมายว่าทารกยังมีชีวิตอยู่และไม่สามารถจะนำออกมาทางช่องคลอดได้ แต่ส่วนใหญ่ของนักปราชญ์ในสำนักคิดนี้มีทัศนะว่าไม่อนุญาตให้ผ่า และปล่อยศพค้างไว้จนกว่าทารกในครรภ์จะถึงความตาย แล้วจึงนำไปฝังศพ  

             ท่านอิบนุ กุดามะฮฺมีความคิดเห็นว่า ไม่อนุมัติให้ผ่าท้องศพหญิงมีครรภ์ แต่ให้หมอผดุงครรภ์ใช้มือล้วงช่องคลอดเพื่อนำทารกออกมาตามช่องปกติเพราะการผ่าท้องถือเป็นการหลบลู่เกียรติของศพพร้อมกันนั้นไม่อาจยืนยันได้ว่า ทารกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่เสมอไปก็หาไม่  การลบหลู่เกียรติยศของศพโดยมีเหตุผลเพียงเพื่อช่วยทารกที่ยังไม่แน่นอนว่าจะมีชีวิตอยู่จึงไม่เป็นที่อนุโลม(6)   

             สาเหตุที่ปราชญ์หลายคนตามสำนักคิดนี้ที่ไม่อนุโลมการผ่าศพสตรีนั้น  เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่า น่าจะมาจากไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดในสมัยนั้นประการหนึ่ง ซึ่งแน่นอนในกรณีนี้หากยินยอมให้ผ่าก็ย่อมเป็นผลร้ายแก่ทารกและเป็นการลบหลู่เกียรติยศของศพอีกด้วยและอีกประการหนึ่งอาจเป็นสาเหตุมาจากตัวทารกเองที่ไม่อยู่ในสภาพอันคาดหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ซึ่งหากยินยอมในกรณีนี้บางทีอาจนำไปสู่การทำให้ศพเสียรูปทรงซึ่งเป็นการลบหลู่ศพ

             ส่วนการผ่าศพเพื่อเอาทรัพย์ของเจ้าของคืนนั้น นักปราชญ์ตามสำนักคิดนี้ก็ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันด้วยแต่แนวทางที่มีหลักฐานและเหตุผลชัดเจนกว่าคือแนวทรรศนะที่เห็นว่า อนุโลมการผ่าศพเพื่อเป็นการคุ้มครองคุณค่าแห่งทรัพย์ที่ถูกขโมยและรักษาสิทธิผู้ที่ถูกลิดรอนนอกจากเจ้าของทรัพย์จะให้อภัยก็ไม่อนุญาตให้ทำการผ่าศพ

             3.2 สรุปทรรศนะนักวิชาการปัจจุบันเกี่ยวกับการชันสูตรศพ

             จากความคิดเห็นของปราชญ์ด้านนิติศาสตร์ทั่วโลกตามสำนักคิดต่างๆ ในอดีตทำให้เราทราบว่าส่วนใหญ่ของปราชญ์มีทรรศนะว่า การผ่าศพสตรีที่มีครรภ์เพื่อช่วยเหลือทารกให้อยู่รอดก็ดี หรือการผ่าศพเพื่อเอาทรัพย์คืนแก่เจ้าของก็ดีล้วนเป็นที่อนุโลม  ทั้งนี้โดยคำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้รับจาการช่วยชีวิตทารกและปกป้องมิให้ทรัพย์สูญเปล่า ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าความเสื่อมเสียที่จะเกิดแก่เกียรติยศของความเป็นมนุษย์ของศพ  โดยใช้หลักทฤษฎีทางนิติศาสตร์อิสลาม( เกาะวาอิดดุลฟิกฮฺตามหลักศาสนาอิสลาม) ซึ่งบรรดาปราชญ์อิสลามในอดีตได้วางหลักและกฏไว้เพื่อตัดสินปัญหาต่างๆด้านศาสนาไม่ว่าปัญหาจะเคยเกิดหรือปัญหาใหม่ๆที่เกิดตามยุคสมัยต่างๆขึ้น

             หลักทฤษฎีดังกล่าวคือหลักที่ว่าด้วย  “อันตรายร้ายแรงยิ่งย่อมสิ้นไปด้วยภัยที่ด้อยกว่า” ในกรณีข้างต้นการผ่าท้องศพแน่นอนจะต้องเป็นภัยแก่ศพและหากไม่ผ่าก็ย่อมเป็นอันตรายต่อชีวิตทารกหรือทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งในทั้งสองประการคือ การผ่าท้องศพและการไม่ผ่าล้วนเป็นภัยอันตรายทั้งสิ้น แต่เนื่องจากภัยในประการหลังมีอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าประการแรกจึงอนุญาตให้ผ่าเพื่อปกป้องและคุ้มครองชีวิตทารกแม้จะกระทบกระเทือนแก่เกียรติยศของศพบ้างก็ตาม

             การชันสูตรศพ  การผ่าศพและแยกธาตุต่างๆนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับกรณีฃองการผ่าท้องศพ ดังกล่าวมาแล้ว   หลักเกณฑ์และวิธีการวินิจฉัยก็เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ดังนั้นในภาวะจำเป็นเพื่อทราบถึงสาเหตุแห่งการเสียชีวิต การชันสูตรศพ การผ่าศพและแยกธาตุย่อมได้รับการอนุโลมจากหลักการศาสนาให้ทำได้ 

             ทั้งนี้ด้วยการเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงที่จะเกิดจากการนั้นทั้งแง่ในการดำเนินคดีและในทางการแพทย์เมื่อเปรียบเทียบกับความเสื่อมเสียเกียรติที่จะเกิดแก่ศพ แต่การอนุโลมให้ทำการชันสูตรศพเป็นการอนุมัติในกรณีพิเศษเฉพาะในกรณีจำเป็นจริงๆ และได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองของศพ ทั้งการชันสูตรจะต้องเอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้รู้ทางศาสนาอิสลามและการปฏิบัติต้องเป็นไปอย่างนิ่มนวลละมุนละไม  ให้ความเคารพและเกียรติศพพร้อมทังต้องระมัดระวังไม่กระทำใดๆอันเป็นการลบหลู่เกียรติยศของศพและเมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรแล้วให้รีบรวบรวมชิ้นส่วนของศพทั้งหมดเพื่อนำไปฝังตามหลักการศาสนา

             ปริศนาการเสียชีวิต  79 ศพหรือ 85 ศพ ในเหตุการณ์ประท้วงที่สถานีตำรวจอำเภอตากใบ (25/10/47) ในอดีตหรือการเสียชีวิตในที่อื่นๆในภาคใต้ในสภาวะปัจจุบันซึ่งเป็นภาวะไม่ปกติและการเสียชีวิตอย่างปริศนาอื่นอีกในอนาคตนั้น  ผู้เขียนคิดว่า การชันสูตรศพน่าจะเป็นทางออกอีกวิธีหนึ่งที่จะได้ทราบปริศนาของการตาย ( นี่คือทัศนะของผู้เขียนที่ศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับหลักการศาสนาซึ่งอาจมีนักวิชาการด้านศาสนาคนอื่นแย้งก็เป็นสิทธิที่จะกระทำได้หากอยู่บนหลักทางวิชาการศาสนา)  

             ดังนั้นสำนักจุฬาราชมนตรีหรือสำนักงานคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทยน่าจะนำแนวคิดการชันสูตรศพไปพิจารณาและวางกรอบเพื่อง่ายต่อหน่วยงานของรัฐ,  เอกชนและประชาชนในการปฏิบัติเพราะกฎหมายอิสลามเหมาะสมแก่ทุกยุคทุกสมัย  หลักการบางอย่างมีความยืดหยุ่นเปิดกว้างให้มุสลิมมีความสะดวกในการเลือกปฏิบัติ จึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่จะต้องหมั่นศึกษาเพื่อทราบถึงข้อบัญญัติทางศาสนาว่ากว้างฃวางและแคบเพียงใดเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญหนึ่งของอิสลามและเพื่อปัญหาบางอย่างที่มักจะเกิดขึ้นระหว่างมุสลิมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเช่นการชันสูตรศพจะได้หมดไป  อีกทั้งเพื่อความยุติธรรมแห่งกฎหมายจะได้แผ่กระจายครอบคลุมถึงคนทั้งชาติโดยไม่เลือกว่าจะนับถือศาสนาใด 

เชิงอรรถ
1.เจ๊ะเหล๊าะ แขกพงศ์. "อิสลามกับการชันสูตรศพ" . ไคโรสาร, 2538 : 34
2.  โปรดดูเพิ่มเติมในหนังสือ Rod  al-Muktar Ala Rod al-Muktar 1/628, al- Ashbah  wa al- Nazoir หน้า 88  และ al- Fatwa al-Hind ,5/360
3.โปรดดูเพิ่มเติมในหนังสือ  Fatwa al- Shayk  Alish หน้า130  และ   al- Sharh al-Sogir ala Akrab al-Masalik หน้า 1/192
4. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Tuhfat  al- Muhtaj หน้า 3/203 ,al-Majmua  หน้า  5/300  Mughni al-Muhtaj หน้า 1/207
5.ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน    al-Muhso หน้า 5/166
6. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน    Tashih al-Furua  หน้า 691  al-Mughni  หน้า 2/413

คำสำคัญ (Tags): #วัฒนธรรมศึกษา
หมายเลขบันทึก: 40147เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2006 17:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท