ในปัจจุบันเกือบทุกประเทศในโลกต่างมุ่งไปสู่การพัฒนาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจในเวทีการค้าโลก ทำให้แต่ละประเทศต่างแข่งขันกันในด้านอุตสาหกรรม การผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ดังนั้นทรัพยากรธรรมชาติก็ถูกนำไปใช้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นลดลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งได้รับผลกระทบทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมตามมา เช่น การกัดกร่อนของผิวดิน ป่าไม้ถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศที่กำลังพัฒนาซึ่งมีความได้เปรียบทางด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน ซึ่งเข้ามาเพื่อสร้างฐานการผลิต (ทั้งผลิตเพื่อส่งออกและบริโภคภายในประเทศ) แม้การเข้ามาลงทุนหรือการผลิตเพื่อส่งออกเหล่านั้นจะนำมาซึ่งเม็ดเงินอย่างมากในระบบเศรษฐกิจแต่การผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมบางประเภทก็ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน ทั้งมลภาวะทางน้ำ ทางอากาศ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงผลเสียจากมลพิษที่เกิดขึ้นในระยะยาวแล้ว ภาครัฐต้องสูญเสียเม็ดเงินอย่างมหาศาลในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมดังกล่าว
ดังนั้นก่อนที่เราจะมุ่งประเด็นไปที่การพัฒนาด้านการค้า เราควรกลับมามองปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ประสบอยู่หรือที่อาจเกิดขึ้นถ้าเราปล่อยให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่จำกัดและไม่มีการควบคุม แค่เพียงเพื่ออยากที่จะให้ประเทศก้าวไปสู่การเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ เพราะในท้ายที่สุดแล้วหากไม่มีการจัการควบคุมดูแลหรือวางมาตรการเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ดีเพียงพอ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อันเป็นข้อได้เปรียบ ก็จะค่อยๆเสื่อมโทรมลงและสูญสิ้นไปในที่สุด
จากการศึกษาของ United Nations (1999) พบว่าการค้าเสรีก่อให้เกิดปัญหาด้านมลพิษและปัญหาทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น การทำนากุ้งในประเทศบังคลาเทศทำให้ดินเสื่อมโทรม ป่าโกงกางถูกทำลาย และสุขภาพของประชาชนแย่ลงซึ่งถือเป็นต้นทุนทางสังคมคิดเป็นร้อยละ 21-30 ของรายได้ที่ได้จากการส่งออกกุ้งแปรรูป
จึงจะเห็นได้ว่าการเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างประเทศย่อมนำมาซึ่งการลดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม คือ
การค้าเสรีย่อมก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านการผลิต คือเมื่อมีการผลิตสินค้าและบริการมาก มลพิษก็ย่อมมากตามไปด้วย
การค้าเสรีก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านโครงสร้างการผลิต คือถ้าประเทศนั้นมีความได้เปรีบยทางด้านเงินทุนคือใช้เครื่องจักรที่ใช้น้ำมันในการผลิตสินค้า ประเทศนั้นก็มีแนวโน้มที่ก่อมลพิษทางอากาศมากกว่าอีกประเทศหนึ่ง
ประเทศต่างๆโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาจึงควรสร้างมาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นกฎเกณฑ์เพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นการจดตั้งแหล่งบำบัดน้ำเสียในชุมชน การกำหนดระบบจัดเก็บภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม การกำหนดมาตรการควบคุมโรงงานที่ปล่อยมลพิษ ตลอดจนการกำหนดมาตรฐานสินค้าและมาตรฐานการผลิต
ดังนั้นมาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญจึงควรเป็นมาตการที่สร้างมาตรฐานในการผลิตโดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างมาตรฐานเรื่องสิ่งแวดล้อม
ซึ่งมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในที่นี้หมายถึง มาตรฐานที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อควบคุมการผลิตสินค้าและปริการ (ทั้งผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต) และการกำจัดขยะหรือกากของเสีย ให้มีกระบวนการที่เหมาะสมและไม่เป็นภัยต่อสุขอนามัยของผู้บริโภคและสภาพแวดล้อม โดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติให้เสื่อมโทรม มาตรฐานดังกล่าวนี้ต้องใช้บังคับทั้งกับสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นภายในประเทศและสินค้าและบริการที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
มาตรฐานสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ได้แก่ มาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด สำหรับควบคุมการระบายน้ำทิ้ง และการปล่อยอากาศเสีย การปล่อยทิ้งของเสีย ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้กำหนดขึ้นโดยกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาตรฐานเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตมากกว่าเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นั้นเรามักพบในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาหรือประเทศสหภาพยุโรป ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเราควรที่จะกำหนดมาตรฐานทั้งทางด้านกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้สินค้าที่สะอาด คือมีการค้าเสรีที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
ขอบคุณที่ให้ความรู้ค่ะ ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่น่าสำคัญเพระว่าตอนนี้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมจากฝีมือของมนุษย์ส่งผลให้เกิดวิกฤษการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่คาดฝันหลายอย่าง ดังนั้นการทำการค้าระหว่างประเทผสในปัจจุบันจึงสมควรที่คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วยค่ะ