ศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับคุณครูเพื่อใช้ในห้องเรียน(4)


การให้คำแนะนำและการพูดก่อนการจบชั้นเรียน

  ขอรูปเพื่อนที่เป็นอาสาสมัครอเมริกัน(Peace Corps) ชื่อ Brooke Smith ไว้เป็นรูปในการอบรมครูประถมศึกษา ถ้าได้รูปแล้วจะลงให้ดู คุณครูประถมศึกษามีความตั้งใจในการสอนและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้มาก หลายๆคนไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกเลย ทำอย่างไรที่ผมอยากตะโกนดังๆให้รัฐบาลเห็นคุณค่าของการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ไม่อย่างนั้นระบบการศึกษาไทยคงแย่กว่าที่เป็นแน่ๆเลยท่านใดทราบแนวทางช่วยบอกผมที   มาดูการแนะนำนักเรียนแบบง่ายๆดีกว่า  

1.12 Giving advice/suggestions

  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        Why don’t you….?</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        You should…</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        If I were you, I would…</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        How about…?</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        What about…?</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        Have you though about?</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        Can I get you more information?</p><p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal"></p>  <div style="text-align: center"></div>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 0.5in; text-align: justify" class="MsoNormal">1.13 Ending the lesson</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        That’s all for today.</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        Do you have any questions?</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        If you have any questions you can see me after class.</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        See you again on…</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        Please don’t forget about your homework.</p>  <p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal">-        Please clean up your desk.</p><p style="margin: 0in 0in 0pt 1.25in; text-indent: -0.25in; text-align: justify; tab-stops: list 1.25in" class="MsoNormal"></p>                        -        Please tidy up the room.  <div style="text-align: center"></div><p>   มีหลักไวยากรณ์เรื่อง If clause ในโอกาสหน้าจะลองอธิบายให้ดู ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำงาน การอ่านบันทึกนี้นะครับ    </p><p> </p><p style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal">Thank you Miss Brooke Smith and Peace Corps</p><p style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: justify" class="MsoNormal"></p><div id="smileyDIV0">             </div> 

หมายเลขบันทึก: 40055เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2006 11:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2013 21:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (24)

              ประมาณปี2541 ผมและ ผญ.บำเพ็ญ ขวัญปลอด ได้มีโอกาส ไปร่วมยกร่างแผน ฯ 9 ที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ของสภาพัฒน์ฯ ในขณะนั้น ในกลุ่มของผมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ในเรื่องของเด็กไทยในอนาคตควรจะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างไรจำได้ว่ามีการตกผลึกทางความคิดกันว่า ควรเรียนภาษาที่เป็นสากลคือภาษาอังกฤษและภาษาจีนและ ฯ ให้แตกฉาน มีคำถามว่าทำไมต้องภาษาจีนด้วย ผมก็ตอบว่าต่อไปจีนจะมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้สูงมาก ในทุกๆด้าน จึงต้องเรียนรู้ให้ถึงแก่นเพื่อการสื่อความหมาย การค้าขายและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ฯลฯ แต่มาถึงวันนี้ ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ในภาพรวมการศึกษาของเราไปไม่ถึงไหน มันหางด้วนครับ ผมมองไม่เห็นทางเลยครับ

                 แต่ก็ดีใจมากๆที่ gotoknow ทำให้ผมและลูกสาวได้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษอีกท่านหนึ่ง

                 จะขยันทำการบ้าน ครับ

เข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้ค่ะ

ขอเสนออาจารย์ขจิตทำลิงค์ ของ (1) (2) (3) ไว้ด้วยดีไหมคะ เวลาเข้ามาอ่านจะได้ตามเรื่องเดิมได้ ขอบคุณค่ะ

  • ครูประถมไม่ได้เรียนเอกอังกฤษ....เป็นเพราะ  อะไร ?    เป็นเพราะครูเอกอังกฤษมีน้อย  เลยต้องรับบรรจุครูเอกอื่นๆ แทน   หรือเป็นเพราะไม่ได้กำหนด spec ไว้ล่วงหน้าว่าจะรับเฉพาะเอกอังกฤษ    เลยทำให้ได้ครูเอกอื่นๆ มาแทน    ถ้าเป็นอย่างหลังต้องแก้ที่...การกำหนดคุณสมบัติตั้งแต่ตอนรับสมัคร
  • อันที่จริงถึงจะไม่ได้เรียนเอกอังกฤษมา   แต่ต้องสอนภาษาอังกฤษเพราะความจำเป็น   ก็น่าจะพัฒนากันได้    เช่นเข้าอบรมระยะสั้นๆ (แบบที่คุณขจิตจัด)  คงต้องขนขวายด้วยตนเองมากหน่อย    เพื่อเด็กๆ  ค่ะ  
  • ขอบคุณพี่หรอยมากครับ ที่มหาวิทยาลัยมีนักศึกษาจีน มาเรียนปริญญาเอกภาษาอังกฤษ 6 ท่าน มาสอนภาษาจีนให้ด้วยครับ
  • ภาษาเป็นวิชาทักษะครับต้องฝึกบ่อยๆว่าแต่ว่าลูกสาวพี่หรอยอยู่ชั้นไหนแล้วครับ
  • ลองเข้าไปดูภาษาอังกฤษที่ นี่นะครับ
  • www.starfall.com
  • www.storyplace.org
  • ดีใจที่มีประโยชน์ครับ

 

  • ขอบคุณอาจารย์จันทรรัตน์มากครับ รออีก 1 บันทึกครับจบพอดี จะทำlink ไว้บันทึกสุดท้ายครับ
  • ขอบคุณครับผม
  • คือในโรงเรียนประถมมีคุณครูเอกภาษาอังกฤษเพียงไม่กี่คน ในสมัยก่อนไม่มีเลยครับ
  • ส่วนใหญ่เป็นเอกประถมศึกษา หรือปฐมวัย จริงๆแล้วคุณครูประถมหลายคนขวนขวยมากครับ แต่ปัญหาคือ ผู้บริหารบางคนไม่สนับสนุนให้เขาพัฒนาตนเอง บางคนเดินทางไปอบรมเบิกค่าอบรมไม่ได้เพราะโรงเรียนบอกว่าไม่มีงบประมาณแต่ ผู้บริหารบางคนดีมากครับ สนับสนุนเต็มที่ ผมใช้ไปอบรมให้ที่โรงเรียนครับ ครูจะได้ไม่ต้องเดินทางไกล เสียค่าที่พักและเสียค่าเดินทาง อบรมที่โรงเรียนในชุมชนเลย ประหยัดมากครับ ใช้เวลาในวันศุกร์คุณครูที่เข้าอบรมจะได้ไม่เสียเวลาสอน นักเรียนได้เรียนตามปกติ
  • แต่เราก็เสียเวลาเดินทางเหมือนกัน แต่ถือว่าได้บุญในการที่เป็นวิทยาทานครับคุณnidnoi
  • น่าจะมีคุณครูใจดีแบบคุณขจิตเยอะๆ ...  เนาะ
  • จำได้ว่าสมัยที่เรียน ม.ต้น  มีครูผู้หญิงคนหนึ่ง  จบมาใหม่ๆ  เอกอังกฤษ   ครูคงรู้ว่าเด็กๆ  อ่อนภาษาเลยจัดสอนพิเศษให้ตอนเย็นหลังเลิกเรียน  โดยสอนฟรี   แต่สอนได้เพียงเดือนเดียวก็เลิก   เหตุคือผู้ปกครองไม่อยากให้ลูกๆ  กลับบ้านค่ำ
  • เด็กจะสนใจเรียนภาษาอังกฤษหรือไม่   นอกจากต้องมีครูที่สอนเก่งๆ แล้ว    คงต้องอาศัยการส่งเสริมจากทางบ้านด้วยอีกแรง
  • เห็นด้วยครับ เคยสอนให้ฟรีสมัยอยู่มัธยมศึกษาแต่นักเรียนบ้านอยู่ไกล  เลยสอนได้ประมาณ 1 เทอม หลังจากนั้นใช้สอนตอนพักกลางวันแทน ทั้งเด็กและครูเอาข้าวมากินด้วยกันมีความสุขดี ใช้เวลากินไม่ถึง 15 นาที แล้วเรียนพิเศษ นักเรียนก็ไม่ต้องกลับบ้านค่ำ
  • เห็นด้วยครับที่ผู้ปกครองสนับสนุน มีผู้ใหญ่บ้านจัดเด็กให้สอนช่วงปิดเทอม โดยสอนให้ฟรี เด็กก็ไม่ต้องไปไหนไกล ครูก็อยู่ในชุมชน ก็สบายดีครับ

กลับมาแล้วค่ะ  แวะมาทักทาย

  • ขอบคุณคุณกัลยามากครับ
  • หายไปนานนะครับ

นอกจากผู้ปกครองจะต้องให้การสนับสนุนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุด คือ หากเกิดจากความสนใจโดยตัวเด็กเอง ก็จะทำให้เขารู้สึกว่า การเรียนภาษานั้นเป็นการเรียนอย่างมีความสุข ส่วนครูต้นแบบที่ดีนั้น เป็นเพียงส่วนเสริมให้เด็กสนใจเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น  ถ้าความสนใจเริ่มต้นมาจากผู้เรียนเองแล้ว  รับรองว่า ผู้ปกครองจะต้องพยายามขวนขวายหาสิ่งที่ดีๆ ให้ หนำซ้ำผู้ปกครองเองต้องพยายามเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับเด็กด้วย  ตัวเองมีให้เห็นเลยค่ะ  ลูกสาวพี่ "น้องฟาง"  ร่ำร้องเหลือเกิน อยากเรียนภาษาจีน  ตั้งแต่สมัยเขาอยู่อนุบาล 3 ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ของเด็ก อ.3 ขณะนั้นว่า "มีเพื่อนในห้องหลายคนที่พูดภาษาจีนได้ ลูกอยากฝึกเอาไว้พูดกับเพื่อน ๆ " ทั้งที่ในใจตอนนั้น คิดว่า "ยังไม่จำเป็นหรอกลูกยังเล็กเกินไป ที่สำคัญ พ่อ กับแม่ ก็พูดภาษาจีนไม่ได้ แล้วจะฝึกทบทวนให้ลูกได้อย่างไร" สุดท้ายทนเสียงร้องขอไม่ไหว ก็เลยใจอ่อน ยอมให้เขาเรียนตอนปิดภาคเรียนอนุบาล 3 น้องฟาง น่าจะเป็นคนเดียวในห้องที่เป็นลูกคนไทย ไม่มีเชื้อสายจีนเลย  มีเพียงอย่างเดียวที่เหมือนลูกจีน คือ ตัวขาว เท่านั้น ปรากฎว่า เมื่อลูกได้มีโอกาสไปเรียน ได้เจอเหล่าซือ (คุณครู) น่ารัก ๆ ทำให้ความอยากเรียนของน้องฟาง เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แล้ววิธีการถ่ายทอดของที่นี่ ก็ช่างเหมาะเจาะกับเด็ก  ๆ ซะเหลือเกิน  ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนระดับเล็ก ๆ แต่ใช้กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  ไม่เน้นวิชาการมากเกินไป  เน้นการถ่ายทอดภาษา ผ่านทางบทเพลง ผ่านทางนิทาน ผ่านทางเกมส์ต่าง ๆ ผ่านทางบทกลอนแบบง่าย ๆ ซึ่งทำให้เด็กได้ซึมซับสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว เขาสามารถรู้ความหมายคำ ความหมายประโยคได้ ทั้ง ๆ ที่ยังเขียนภาษาจีนไม่เป็น เมื่อกลับมาบ้าน ก็มาทำหน้าที่เป็นตัวถ่ายทอดต่อให้พ่อ แม่ และน้องคนเล็ก ได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน เมื่อถึงคราวที่เหล่าซือ สอนให้ฝึกเขียน เนื่องจากเด็กมีความพร้อมอยู่แล้ว ทำให้เขาสามารถเขียนภาษาจีนได้ และจำได้อย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่กลับมาบ้าน ทางบ้านไม่มีโอกาสได้สอนเลย เพราะไม่รู้เรื่องสักตัว  แต่น้องฟางก็สามารถทำคะแนนเป็นที่หนึ่งทุกครั้งในการทดสอบแต่ละครั้ง เมื่อได้เรียนไปประมาณหนึ่งปี  (ไม่ได้เรียนทุกวันนะคะ เรียนเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ ยกเว้นเวลาปิดภาคเรียน จะเรียนทุกวัน) เป้าหมายของน้องฟางเริ่มเปลี่ยนไป  จากเดิมแค่อยากเรียนเพื่อจะได้สื่อสารกับเพื่อนร่วมห้องได้  น้องฟางเปลี่ยนเป้าหมายเป็น  อยากเรียนเพื่อที่พอจบชั้นประถม 6 จะขอไปเรียนต่อที่ประเทศจีนจนจบมหาวิทยาลัย แล้วเมื่อถึงเวลานั้น พ่อกับแม่ ไม่ต้องตามเขาไป เขาสามารถอยู่ได้  ถ้าคิดถึงเขา แค่เพียงส่ง e-mail คุยกันก็พอ (นี่คือเป้าหมายของเด็กที่ขณะนั้นเพิ่งเริ่มขึ้นชั้น ป.2)  จนช่วงปิดภาคเรียนตอนป.2  ทางคณะฯ ที่คุณแม่เรียนปริญญาโทอยู่ ได้มีโอกาสนำนักศึกษาไปดูงาน (ผสมเที่ยว)  ที่ฮ่องกง และมาเก๊า  คุณแม่ก็พยายามกัดก้อนเกลือกิน (เก็บเงิน) เพื่อจะให้น้องฟางได้มีโอกาสไปเห็นประเทศที่เขาอยากไปเรียน  ได้มีโอกาสได้ฝึกใช้ภาษาจีนอย่างง่าย ๆ กับคนจีน (จริง ๆ กะพาลูกไปช่วยต่อราคาตอนซื้อของ)  น้องฟางเป็นเด็กคนเดียวที่ร่วมขบวนไปด้วย (ไม่นับครอบครัวของท่านอาจารย์ผู้ดูแลทีม)  คุณแม่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นเป็นครั้งแรกว่า ลูกสาว สามารถเข้ากับพี่ป้า น้า อา ทุก  ๆคน (เพื่อนร่วมชั้นเรียนของคุณแม่) ได้ทุกคน ไม่งอแงเลย ไม่บ่น  ถึงแม้อากาศจะหนาว การเดินทางส่วนใหญ่จะเดินเท้ามากเหมือนกัน  การกิน ก็ไม่เป็นเวลา แต่ลูกสาวดูมีความสุขมาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาคาดหวังว่าจะได้มีโอกาสมาเป็นประเทศที่เขาใฝ่ฝัน

         ซึ่งการพามาครั้งนี้ น้องฟางได้มีโอกาสใช้ภาษากับไกด์  กับแม่ค้า ได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวจีน (ฮ่องกง) จนคนจีนที่นั่นขอเก็บภาพน้องฟางเป็นที่ระลึก  แต่ด้วยความแตกต่างของวิถีชีวิตของคนฮ่องกง กับเซิ้นเจิ้น ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อกลับมาถึง ทำให้เป้าหมายของน้องฟางเปลี่ยนไปอีกแล้ว เป็น "ถ้าไปเรียนที่ประเทศจีน  ขอไปเรียนที่ฮ่องกงได้ไหมคะแม่ เพราะที่เมืองจีน คนไม่เป็นระเบียบเลย  ส้วมก็ไม่สะอาด"

      จากที่เล่ามานี้ พยายามให้เห็นว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของกระบวนการเรียนรู้คือ ตัวผู้เรียนเอง  ต่อให้ระบบดีอย่างไร  ผู้ปกครองให้การสนับสนุนอย่างไร แต่ถ้าผู้เรียนไม่ใส่ใจ กระบวนการเรียนรู้ก็จะอยู่แค่ในห้องเรียน ทำอย่างไรที่จะทำให้เด็กของเราเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต  อันนี้ฝากไว้ด้วยนะคะ

คงต้องขอให้คุณรัตติยา   ช่วยขยายความต่ออีกซักนิดหนึ่งว่า  ทำไมน้องฟางจึงเป็น "ผู้เรียนที่ใส่ใจ"   ได้ขนาดนั้น    เป็นเพราะได้แรงบันดาลใจที่ดีจากเพื่อนๆ  และเหล่าซือ  หรือเปล่าคะ
.
ตอนนี้หลานสาวของ nidnoi เรียนอยู่ที่ รร. ศรีนคร ม. 2 ค่ะ  ซึ่งต้องเรียนภาษาจีนเพิ่ม จากที่ไม่เคยเรียนมาก่อนเลย    เจ้าตัวเค้าไม่ยอมใส่ใจเลยแม้แต่น้อย  ผิดกับภาษาอังกฤษซึ่งพอจะได้บ้าง   เจ้าตัวบอกว่า  เพื่อนบอกว่า....อ้างเพื่อนตลอดเลย   เพื่อนคงจะมีอิทธิพลมากสำหรับเด็กวัยนี้
(คุณรัตติยา  เปิดบันทึกใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ดีนะคะ  จะตามไปอ่าน)

อาจารย์ขจิตครับ

  •  ถ้าเราใช้คำตรงๆ เช่น I suggest you......
  •  หรือถ้าใช้ว่า   you'd better....

จะฟังดูแข็งไปหรือเปล่าครับ

ผมเองก็กำลังเตรียมตัวนำเสนอผลการศึกษาเดือนหน้า  เวลาจบการนำเสนอควรใช้ประโยคแบบไหนดีเอ่ยครับ

ขอบคุณครับอาจารย์  

  • เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่พี่รัตติยาควรเปิดบันทึกเกี่ยวกับ การเรียนรู้ของเด็กๆ ของน้องฟาง ผมจะตามไปอ่านทุกครั้งครับ ขอบอก ขอบอก...
  • ที่มหาวิทยาลัยผมมีเพื่อนชาวจีนมาเรียนปริญญาเอกภาษาอังกฤษ 6 ท่าน ทำให้ผมได้ฝึกพูด ฝึกฟังไปด้วย พอจะพูดคำง่ายๆได้เช่น อาจารย์ Nidnoi ก็จะเป็น Nidnoi เหล่าซือ
  • ตอนนี้เรียนหนักมาก ลองถามน้องฟางว่า ต้าเจ วอซือหมิ่งมู่  แปลว่าอะไรครับ
  • ขอบคุณพี่รัตติยา คุณ Nidnoi มากครับ ได้ความรู้จนตั้งใจว่าจะนำไปเขียนเป็นบันทึกได้ 1 บันทึกเลย ขอบอนุญาตคุณรัตติยา เผยแพร่ให้อาจารย์ท่านอื่นๆอ่านนะครับ
  • ขอบพระคุณมากครับ
  • ผมไปตอบไว้ที่ถามคำถามของอาจารย์แล้วครับ
  • มีน้องถามคำถามอาจารย์ด้วย
  • ขอบคุณอาจารย์จรัณธรมากครับ

ขอบคุณมากครับอาจารย์ขจิต ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดูบล็อกตัวเองเลยครับ ตอนนี้ยุ่งจนหัวหมุนเลย

ประโยคเพราะมากครับ ผมได้ใช้ประโยคที่อาจารย์แนะนำแน่นอนครับ

  • ด้วยความยินดีค่ะคุณขจิต  หลานฟางคงดีใจมาก ที่รู้ว่า ความคิดความเห็นจากหัวใจดวงน้อย ๆ ของหลานฟาง จะเป็นประโยชน์ต่อพี่ป้าน้าอา ทั้งหลาย สำหรับคำถามที่ว่า " ต้าเจ วอซือหมิ่งมู่  " แปลว่าอะไรนั้น เนื่องจากคุณแม่ออกมาเรียนแต่เช้า เลยยังไม่เจอหน้าลูกสาวเลยค่ะ ไว้กลับไปจะถามให้นะคะ
  • สำหรับคำถามของคุณ nidnoi ที่อยากช่วยให้ขยายความต่ออีกซักนิดหนึ่งว่า  ทำไมน้องฟางจึงเป็น "ผู้เรียนที่ใส่ใจ"   ได้ขนาดนั้น    เป็นเพราะได้แรงบันดาลใจที่ดีจากเพื่อนๆ  และเหล่าซือ  หรือเปล่า    คิดว่าใช่ค่ะ  โชคดีอีกนิดนึงที่ครอบครัวเราเป็นครอบครัวปานกลาง ที่พอจะสนับสนุนในสิ่งที่ลูกสนใจได้  ตอนนี้น้องฟางชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์มาก ถึงแม้จะเป็นวิชาที่น้องฟางได้คะแนนน้อยที่สุดในบรรดาวิชาอื่น ๆ ดังนั้น เมื่อทางโรงเรียนเปิดเรียนพิเศษวิชาวิทยาศาสตร์  สอนเฉพาะวันเสาร์ น้องฟางจึงไม่ลังเลที่จะขออนุญาตคุณพ่อ คุณแม่ ไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเนื้อหาที่คุณครูสอน จะไม่เกี่ยวกับวิชาการที่เรียนในห้องเลย  จะเน้นให้เด็กเป็นนักวิทยาศาสตร์ ทุก ๆ เสาร์ที่มีเรียน น้องฟางจะกลับมาด้วยความภาคภูมิใจมาก ในสิ่งที่เขาผลิตได้ ไม่ว่าจะเป็น ยาหม่อง สบู่ ยาสระผม  การเรียนพิเศษของน้องฟาง จะไม่เน้นวิชาการคะ แต่จะเน้นในสิ่งที่เขาอยากเรียน  เขาจะเป็นผู้ร้องขอที่จะเรียนเอง ไว้จะเขียนเล่านะคะ ว่าทำไมน้องฟาง ถึงอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์
  • ขอบคุณอาจารย์จรัณธรมากครับ
  • ดีใจที่มีประโยชน์ น้องเขาดีใจมากครับที่อาจารย์แนะนำมา เป็น amazing gotoknow ที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่างสาขาจริงๆ
  • โชคดีในการสอบนะครับ
  • ขอบคุณพี่รัตติยาครับ
  • จริงๆแล้วรู้สึกสงสารเด็กๆในปัจจุบันที่ต้องเรียนพิเศษ เด็กๆเลยไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากนัก ถ้าเรียนทุกวันยิ่งน่าสงสารมาก ดีที่น้องฟางเรียนเฉพาะวันเสาร์และเรียนในสิ่งที่น้องฟางชอบ
  • ผมไม่เคยเรียนพิเศษเลยในชีวิตของการเป็นนักเรียน ชอบอ่านเอง ผมพบอีกว่าครูที่สอนพิเศษตามสำนักติว สอนแต่วิธีการทำข้อสอบ ไม่ได้สอนองค์ความรู้ เมื่อเด็กตอบข้อสอบได้แต่ไม่มีพื้นฐานองค์ความรู้ที่ดี พอไปเรียนต่อ การคิดวิเคราะห์ของเขาไม่ค่อยดีเลย ทำให้เด็กเรียนเพื่อสอบได้ มากกว่าเรียนเพื่อความรู้ ทำอย่างไร เราจะช่วยเด็กๆให้มีความสุขกับการเรียน มีความสุขกับการอยู่กับครอบครัว หลังโรงเรียนเลิก ในเมืองใหญ่ กว่าเด็กจะกลับมาจากเรียนพิเศษ ก็ดึกมากแล้ว โอกาสที่จะได้พบคุยเล่นกับน้อง กับผู้ปกครองมีน้อยมาก เช้าก็ไปอีกแล้ว น่าสงสารนะครับ
  • ผมเป็นห่วงจังเลย ขนาดยังไม่มีครอบครัวนะเนี่ย ผมคิดมากไปไหมครับพี่รัตติยา

หลานฟาง ตอบว่า  "ต้า  แปลว่า ใหญ่ "  ต้าเจ วอซือหมิ่งมู่  ต้าเจ ไม่รู้ความหมายค่ะ ส่วน  วอซือหมิ่งมู่   แปลว่า "ฉันชื่อ  หมิ่งมู่"  คุณแม่ถามน้องฟางว่า  คุณน้าฝอยทอง เป็นห่วงกลัวว่า หลานฟาง จะเรียนเหนื่อยเกินไปรึป่าว  หลานฟางตอบว่า  ไม่เหนื่อยค่ะ ถ้าเรียนแล้วไม่มีความสุข  หลานฟาง จะเรียนไปทำไม"

ดิฉัน รู้คำตอบแล้วหละคะ  คุณ nidnoi  (แหม  กว่าจะถึงบางอ้อ)  สิ่งที่ทำให้น้องฟางสนใจเรียน นั่น คือ เขามีความสุขในสิ่งที่เขาเรียน  ฉะนั้น กระบวนการเรียนรู้ที่ดี คือ การทำอย่างไรก็ได้ ให้ผู้เรียน รู้สึกมีความสุขในการเรียน  ซึ่งแน่นอนย่อมหมายความว่า  สภาพแวดล้อม ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก พอจะเป็นคำตอบให้ผู้ใหญ่ แบบ เรา ๆ ท่าน ๆ ได้รึป่าวค่ะ

  • ขอบคุณมากครับ
  • แล้วจะเฉลยว่าแปลว่าอะไรนะครับ
  • เชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้ที่ดี คือ การทำอย่างไรก็ได้ ให้ผู้เรียน รู้สึกมีความสุขในการเรียน  ซึ่งแน่นอนย่อมหมายความว่า  สภาพแวดล้อม ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก
  • ขอบคุณค่ะคุณรัตติยา
  • สรุปว่าต้อง "สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้"   สภาพที่เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน
  • ต้องคิดกันอีกเยอะทีเดียวว่า   สร้างยังไงดีนะ
  • ขอบคุณครับ
  • ท่านใดมีคำตอช่วยตอบให้หน่อยสิครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท