มุมมองของศาสนาอิสลามเกี่ยวกับสุขภาวะ ตอนที่ 1: สุขภาวะที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง
เขียนโดย อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ ดินอะ
วันพุธที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙
“...คำว่าผู้ศรัทธาที่แข็งแรงในที่นี้นักปราชญ์มุสลิมหมายถึงกายและใจในขณะเดียวกันจะให้ความสำคัญเริ่มตั้งแต่หัวใจและจิตใจของมนุษย์จนครอบคลุมทุกส่วนของร่างกาย...”
อ. อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ ดินอะ (อับดุลสุโก ดินอะ)
[email protected]
ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิพระองค์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสดามูฮัมมัด(รอซูล) และผู้เจริญรอยตามท่าน สุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกคน
ปัจจุบันรัฐบาลและประชากรประเทศไทยหรือโลกให้ความสำคัญต่อสุขภาพเป็นอย่างมากเพราะสุขภาวะเป็นปัจจัยที่เป็นรากเหง้าในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนนั้น ปัจจัยสำคัญอยู่ที่คนจะต้องมีสุขภาวะอันสมบูรณ์ หากคนมีปัญหาด้านสุขภาพ แน่นอนว่าสังคมก็จะมีปัญหา และจะเป็นอุปสรรคในการสร้างสังคมให้เข้มแข็ง หากประชากรของประเทศใดเกิดเจ็บป่วยหรือมีปัญหาด้านสุขภาพแน่นอนจะกระทบต่อการพัฒนาประเทศทุกๆด้าน
ดังนั้น การเข้าใจความหมายของสุขภาพที่ดีหรือสุขภาวะดีไม่มีปัญหาของประชาชนอย่างครอบคลุม และถูกต้อง จึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะหากประชาชน หรือรัฐเข้าใจความหมายสุขภาวะไม่ครอบคลุมแน่นอนจะทำให้ประชาชนไม่สามารถบำรุงรักษาสุขภาพได้อย่างถูกต้องและครอบคลุมเช่นกัน ในขณะเดียวรัฐเองก็ไม่สามารถที่กำหนดนโยบายในการบำรุง รักษาและพัฒนาสุขภาวะประชากรได้อย่างถูกต้อง และครอบคลุมเช่นกัน แต่เมื่อเราไปมองในชุมชนจะพบว่าส่วนใหญ่ให้ยังเข้าใจว่าสุขภาพดีหมายถึงเป็นสุขภาวะที่สมบูรณ์ ทางร่างกาย และปราศจากภัยไข้เจ็บหรือความพิการเท่านั้น
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้ความหมายของคำว่า "สุขภาพ" ไว้ว่า "เป็นสุขภาวะที่สมบูรณ์ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และ สังคม มิใช่เพียงแค่ปราศจากโรคหรือความพิการเท่านั้น" (Health is a state of complete physical mental and social well-being and not merely the absense of disease or infirmily.)
สุขภาพในที่นี้ จึงมีความหมายรวมใน 3 มิติ ได้แก่
1. มิติทางร่างกาย (physical well-being) หมายถึง การมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง สามารถประกอบอาชีพ กิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ
2. มิติทางจิตใจ (mental well-being) หมายถึง การมีสุขภาพจิตที่ดี มีอารมณ์มั่นคง มีจิตใจที่เป็นสุข สามารถปรับตัว เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้
3. มิติทางสังคม (social well-being) หมายถึง การมีสังคมที่สงบสุข ทั้งครอบครัว ชุมชน ที่ทำงาน สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข มีความขัดแย้งน้อยที่สุด หรือ ความสามารถแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
ท่านศาสดามุฮัมมัด( ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม) ได้วัจนะความว่าอัลลอฮฺทรงรักผู้ศรัทธาที่เข้มแข็งมากกว่าผู้ศรัทธาที่อ่อนแอ (บันทึกโดยอิมามบุคอรีและมุสลิม) และท่านศาสดายังวัจนะอีกความว่า ผู้ศรัทธาที่แข็งแรงย่อมดีกว่าและเป็นที่รักของอัลลอฮฺมากกว่าผู้ศรัทธาที่อ่อนแอ (บันทึกโดยอิม่ามมุสลิม)
คำว่าผู้ศรัทธาที่แข็งแรงในที่นี้นักปราชญ์มุสลิมหมายถึงกายและใจในขณะเดียวกันจะให้ความสำคัญเริ่มตั้งแต่หัวใจและจิตใจของมนุษย์จนครอบคลุมทุกส่วนของร่างกาย จากนั้นไปสู่ภาคผลต่อสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ และความสัมพันธ์ทางสังคมในรูปแบบต่างๆ และจะต้องไม่มองข้ามแม้แต่ที่ถือว่าเป็นการส่วนตัวของบุคคลก็ตาม โดยได้วางหลักการ มาตรฐาน มาตรการการป้องกันด้วย การส่งเสริม ห้าม บำบัดรักษา และกำหนดมารยาทที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์มิให้เกิดการเบี่ยงเบนจนทำให้เกิดความเสียหายต่อมนุษย์ในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคล และในฐานะที่เป็นส่วนรวมของสังคม
ดังนั้นหากท่านใดอยากให้ตนเองมี่ร่างกายที่แข็งแรงและสุขภาพดีได้จะต้องมีสุขภาพกายและจิตที่ดีเยี่ยมการที่จะมีร่างกายดีและจิตเยี่ยมต้องมีอาหารที่มาเสริมทั้งกายและจิตใจซึ่งแน่นอนอาหารใจที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลามคือการเข้าถึงพระเจ้าด้วยการละหมาด การถือศีลอด การรำลึกถึงอัลลอฮฺ การไปประกอบพิธีฮัจญ์เป็นต้น (ในขณะเดียวกันในศาสนาพุทธคือการเข้าถึงธรรม การเข้าวัด การสวดมนต์และการนั่งสมาธิ ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในภาวะที่สังคมเต็มไปด้วยโลกแห่งวัตถุนิยม) แต่การที่จะสามารถเข้าถึงพระเจ้า ธรรมและศาสนาด้วยวิธีดังกล่าวได้บุคคลคนนั้นต้องมีสุขภาพกายที่ดีด้วยเช่นกัน
การมีสุขภาพกายที่ดีได้นั้นมี 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ
1. การรับประทานอาหารที่ถูกหลักอนามัย
แต่สำหรับศาสนาอิสลามแล้วจะต้องเป็นอาหารฮาลลาลด้วยเช่นกัน(ที่ได้รับอนุมัติจากศาสนบัญญัติ)เพราะพระเจ้าได้ตรัสไว้ความว่า
“มนุษย์เอ๋ย! จงบริโภคสิ่งที่ฮาลลาล (อนุมัติ) ที่ดีๆ จากสิ่งที่มีอยู่ในพื้นพิภพเถิด และจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของชัยฎอนมารร้าย(ซาตาน) แท้จริงมัน คือ ศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า” (อัล- บะเกาะเราะฮฺ โองการที่ 168 )
พระเจ้าได้ตรัสในอัลกุรอ่านอีก ความว่า : “ผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าทำสิ่งดีๆ ที่อัลลอฮได้ทรงฮาลาล (อนุมัติ) ให้แก่สู่เจ้าเป็นของหารอม (ต้องห้าม) และพวกเจ้าจงอย่าละเมิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้ละเมิด และจงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เครื่องยังชีพแก่สู่เจ้าซึ่งสิ่งอนุมัติและที่ดีและจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺในพระองค์ที่สู่เจ้าเป็นผู้ศรัธทา” (อัลมาอิดะฮฺ โองการที่ 87-88)
จากพระดำรัสของพระเจ้าดังกล่าวปราชญ์อิสลามจึงได้วางหลักโภชนาการเพื่อสร้างจิตสำนึกและแนวทางให้กับมุสลิมในเรื่องของการเลื่อกอาหารและความผูกพันระหว่างมุสลิมกับพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งประทานปัจจัยยังชีพให้กับมนุษย์และความสัมพันธ์ของการบริโภคกับสังคมดังต่อไปนี้
1. ต้องเป็นอาหารที่ฮาลาล (อนุมัติ) ในตัวอาหารเอง หรือการได้มาของอาหารต้องเป็นการได้มาที่ถูกต้อง โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่หารอมหรือหรือแม้กระทั่งซุบฮาต (คลางแคลงไม่แน่ชัดว่าฮาลาล)
2. คำว่าดีหมายถึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์มีคุณค่าทางด้านโภชนาการ ไม่ใช่อาหารที่มีโทษและอันตรายต่อผู้บริโภคหรือเป็นสาเหตุให้เกิดโทษต่อคนรอบข้างหรือต่อสังคม
ดั่งที่พระเจ้าได้ตรัสมความว่า : “และพระองค์ทรงอนุมัติแต่สิ่งดีๆมีประโยชน์แก่พวกเขาและห้ามสิ่งที่สกปรกโสโครกต่างๆเหนือพวกเขา” (อัลอะรอฟ โองการที่ 157)
และพระเจ้าได้ตรัสความว่า : "พวกเขาจะถามเจ้า (โอ้มูฮัมหมัด) ว่ามีสิ่งใดบ้าง ที่อนุมัติให้แก่พวกเขา เจ้าจงตอบว่าที่อนุมัติแก่พวกท่านนั่นได้แก่สิ่งดีๆ (ที่มีประโยชน์)" อัลมาอีดะอ โองการที่ 4
ท่านศาสดามุฮัมมัดได้วัจนะความว่า: "หะลาลคือสิ่งที่อัลลอฮได้อนุมัติให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องในคัมภีร์ของพระองค์ และหารอมคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงห้ามไว้ในคัมภีร์ของพระองค์" บันทึกโดยอิมามอัตตัรมีซีย์และอิบนุมาญะฮฺ
อัลลอฮตรัสวมีความว่า: "พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือ อัลลอฮได้ทรงประทานลงมาซึ่งเครื่องยังชีพสำหรับพวกเจ้า แล้วพวกเจ้ากลับทำบางส่วนของมันเป็นหาลาลและบางส่วนเป็นหะรอม(ไม่เห็นที่อนุมัติ) " (ยูนุส โองการที่ 59)
ข้อควรรำลึกเกี่ยวอาหารที่พระเจ้าประทานให้
1. อาหารหรือปัจจัยยังชีพเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ ฉะนั้นทุกครั้งที่บริโภคหรือได้รับปัจจัยยังชีพสิ่งที่พึ่งกระทำคือระลึกถึงพระคุณต่ออัลลอฮ(พระเจ้า)และขอพรให้เกิดความจำเริญในอาหารนั้น
ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ความว่า : “ ใครก็ตามที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ แน่แท้อัลลอฮจะให้ทางออกแก่เขา และประทานยังชีพโดยที่เขาไม่สามารถประมาณได้” และอัลลอฮฺได้ตรัสอีกความว่า : “ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า จากสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และจงขอบคุณอัลลอฮ์เถิด หากเฉพาะพระองค์เท่านั้น ที่พวกเจ้าจักเป็นผู้เคารพสักการะ ” (อัลบากอเราะห์ โองการที่ 172)
ท่านศาสดาได้วัจนะไว้ความว่า : “ผู้ใดที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานอาหารใดๆให้แก่เขา เขาจึงกล่าวขอพรว่าโอ้อัลลอฮฺโปรดประทารความจำเริญในอาหารนี้ด้วยเถิดและโปรดประทาน (อาหาร) ที่ดีกว่านี้แก่เรา” ( บันทึกโดยอิมาม อาบูดาวุดและอัตตัรมีซีย์ )
ในรายงานอื่นท่านศาสดาได้วัจนะความว่า (ผู้บริโภคที่รู้คุณ อัลลอฮฺจะให้ผลบุญเสมือนผู้ที่ถือศีลอดที่อดทน)
2. บริโภคแต่พอควร ไม่ควรบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย
อัลลอฮได้ตรัสในอัลกุรอ่าน ความว่า: "และเจ้าจงอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงบรรดาผู้ฟุ่มเฟือยนั้น เป็นพวกพ้องของมารซาตาน และมารซาตานนั้นเป็นผู้ทรยศต่อผู้อภิบาลของมัน" (อัลอิซรอฮฺ โองการที่ 26-27)
อัลลอฮฺได้ตรัสอีก ความว่า: "และสู่เจ้าจงกิน จงดื่มและจงอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ไม่ชอบผู้ที่ฟุ่มเฟือย" (อัลอะรอฟโองการที่ 31)
ท่านศาสดาวัจนะอีกความว่า: "ไม่มีภาชนะใดที่มนุษย์บรรจุจนเต็ม จะเลวร้ายไปกว่าท้องของเขาเป็นการพอเพียงสำหรับเขาซึ่งอาหารไม่กี่คำที่ทำให้ครองร่างอยู่ได้ หากจำเป็นมากกว่านั้นก็ให้กินแต่หนึ่งส่วนในสามส่วนของกระเพาะ อีกหนึ่งส่วนไว้สำหรับดื่มน้ำและเอาหนึ่งส่วนว่างไว้สำหรับหายใจ" บันทึกโดยอิมามอัตตีรมีซีย์ อะฮหมัดและอิบนุหิบบาน
ท่านศาสดาวัจนะอีกความว่า: "อาหารที่รับประทานสองคน พอเพียงที่จะทำการรับประทาน 3 คน และอาหารที่รับประทาน 3 คนพอเพียงที่จะทำการรับประทาน 4 คน" บันทึกโดย อิมามบุคอรีย์และมุสลิม
2. การออกกำลังกาย
อิสลามได้ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาวะ ถึงแม้เรารับประทานอาหารฮาลาลและดีตามศาสนาได้สั่งใช้แล้ว ยังไม่เพียงเพียงพอ ในปัจจัยนี้เพียงปัจจัยเดียวเพราะร่างกายมนุษย์ต้องการให้เผาผลาญอาหารที่รับประทานด้วยเช่นกัน การออกำลังหรือกีฬานั้นหากเราพิจารณาให้ดีมีอิบาดะห์ (พิธีกรรมทางศาสนา) หลายอย่างที่ต้องใช้แรงกาย เช่น การละหมาด วันละ 5 เวลา การประกอบพิธีฮัจญ์ ท่านศาสดาเองสนับสนุนให้บรรดาสหายหรือศอหาบะฮฺของท่านเล่นกีฬา 4 ประเภทด้วยกัน คือ ขี่ม้า ว่ายน้ำ ยิงธนูและเดิน วิ่งซึ่งการออกกำลังกายเป็นการเสริมสร้างและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ครั้งหนึ่งมีสาวกท่านหนึ่งได้มาหาท่านศาสดาและได้บอกถึงความอ่อนแอของร่างกายของตนเอง ท่านศาสดาได้แนะนำให้ออกกำลังกาย แต่การออกกำลังกายทั้งหมดนั้นจะต้องอยู่ในกรอบของศาสนา คือต้องปกปิดเอาเราะ (ร่างกายที่พึงสงวนตามศาสนบัญญัติ) หากออกกำลังในที่แจ้ง เช่นเดียวกับการละหมาดและฮัจญ์ที่มีรุก่นและชารัตต่างๆ(กฏระเบียบด้านศาสนบัญญัติ) ซึ่งข้อนี้เป็นข้อควรระวังอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบันเพราะมีโครงการของรัฐมากมายสนับสนุนกีฬาในชุมชน วัยรุ่นและแม่บ้านแต่มิได้พิจารณาว่ากิจกรรมดังผิดหลักศาสนาหรือไม่
สรุป
สุขภาวะที่ดีจะต้องมีความสมบูรณ์ทั้งจิต กายและสังคม ในขณะสุขภาวะด้านจิตเราอาจะบำรุงด้วยพิธีกรรมทางศาสนา ในขณะเดียวกันสุขภาพกายต้องบริโภคอาหารที่ดีและต้องตามศาสนบัญญัตฺในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมด้วยการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญอาหารที่รับประทาน
เมื่อทุกคนสุขกายสบายใจแน่นอนย่อมส่งผลสู่มิติทางสังคม (social well-being) คือการมีสังคมที่สงบสุข ทั้งครอบครัว ชุมชน ที่ทำงาน สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข มีความขัดแย้งน้อยที่สุด หรือ ความสามารถแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
3 มิติดังกล่าวนี้แหละจะเป็นตัวกำหนดสุขภาวะของคนในชาติอย่างแท้จริงและยั่งยืน