พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร,ดร.
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๔. วิเคราะห์การตีความศีลห้าของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ
ศีล ๕ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสมัยพุทธกาล เป็นการแสดงขึ้นมาท่ามกลางสภาพปัญหาสังคมแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างจากปัญหาสังคมสมัยปัจจุบันมาก ดังนั้น ศีล ๕ ที่พระองค์แสดงจึงมีลักษณะกว้าง ๆ โดยเน้นไปที่การมีจิตสำนึกแบบเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า คนอื่นเขารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด เราก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น คนอื่นย่อมไม่ชอบใจเมื่อของของเขาถูกขโมย ภรรยาสามีถูกล่วงละเมิด และถูกหลอกลวงด้วยวาจา ฉันใด เราก็ไม่ชอบใจเมื่อของถูกขโมย ภรรยาสามีถูกละเมิด และถูกหลอกลวง ฉันนั้น จิตสำนึกนี้เองเป็นรากฐานสำคัญในการรักษาศีล ๕ ดังพุทธพจน์ที่ว่า
อริยสาวก พิจารณาเห็นดังนี้ ‘เราอยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์ ข้อที่บุคคลพึงปลงชีวิตเราผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์นั้น ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของเรา อนึ่ง ข้อที่เราพึงปลงชีวิตผู้อื่น ผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย รักสุขเกลียดทุกข์นั้น ก็ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจแม้ของผู้อื่น สิ่งใดไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจของเรา สิ่งนั้นก็ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจแม้ของผู้อื่น สิ่งใดไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของเรา เราจะนำสิ่งนั้นไปผูกมัดกับผู้อื่นได้อย่างไร’ อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์เองด้วย ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วย กล่าวสรรเสริญการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วย[๑]
ในยุคต่อมาเมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาการถกเถียงกันเกี่ยวกับว่าพฤติกรรมอย่างไรผิดหรือไม่ผิดศีล ๕ หรือถ้าบอกว่าผิดหรือไม่ผิดมีหลักอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสิน ปัญหาในลักษณะนี้คงจะหาเหตุผลมาอธิบายให้เป็นที่ยุติได้ยากพอสมควร พระอรรถกถาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์อธิบายข้อความในพระไตรปิฎก คงจะมองเห็นว่าปัญหายุ่งยากนี้ จึงได้แสดงองค์หรือเกณฑ์ตัดสินศีล ๕ แต่ละข้อไว้ดังนี้[๒]
๑) ปาณาติบาต มีองค์ ๕ คือ (ก) สัตว์มีชีวิต (ข) รู้อยู่สัตว์มีชีวิต (ค) มีจิตคิดจะฆ่า (ง) มีความพยายามในการฆ่า (จ) สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
๒) อทินนาทาน มีองค์ ๕ คือ (ก) ของผู้อื่นหวงแหน (ข) รู้อยู่ว่าเขาหวงแหน (ค) มีจิตคิดจะลัก (ง) มีความพยายามลัก (จ) ลักของได้ด้วยความพยายามนั้น
๓) กาเมสุมิจฉาจาร มีองค์ ๔ คือ (ก) สตรีหรือบุรุษที่ไม่ควรละเมิด (ข) จิตคิดจะเสพ (ค) มีความพยายามในการเสพ (ง) ยังมรรค คือ อวัยวะสืบพันธุ์ให้ถึงกัน
๔) มุสาวาท มีองค์ ๔ คือ (ก) เรื่องไม่จริง (ข) จิตคิดจะกล่าวให้คลาดเคลื่อน
(ค) มีความพยายามที่จะกล่าวให้คลาดเคลื่อน (ง) ผู้อื่นเข้าใจความที่พูดนั้น
๕) สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน มีองค์ ๕ คือ (ก) สิ่งนั้นเป็นของเมา (ข) จิตใคร่จะดื่ม (ค) มีความพยายามในการดื่ม (ง) กลืนให้ล่วงลำคอลงไป
นอกจากแสดงเกณฑ์สำหรับตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิดศีลแล้ว พระอรรถกถาจารย์ยังได้แสดงเกณฑ์ตัดสินในแง่ของการผิดศีลที่มีโทษมากและโทษน้อยด้วย โดยวางเกณฑ์การตัดสินไว้ดังนี้ (๑) คุณ : ฆ่าสัตว์มีคุณมาก ก็มีโทษมาก ฆ่าสัตว์มีคุณน้อยหรือไม่มีคุณ ก็มีโทษน้อย เช่น ฆ่าพระอรหันต์มีโทษมากกว่าฆ่าปุถุชน ฆ่าสัตว์ช่วยงานมีโทษมากกว่าฆ่าสัตว์ดุร้าย (๒) ขนาดกาย : สำหรับสัตว์จำพวกดิรัจฉานทั่วไปที่ไม่มีคุณเหมือนกัน ฆ่าสัตว์ใหญ่ก็มีโทษมาก ฆ่าสัตว์เล็กมีโทษน้อย (๓) ความพยายาม : ถ้ามีความพยายามในการฆ่ามากก็มีโทษมาก ถ้ามีความพยายามในการฆ่าน้อยก็มีโทษน้อย (๔) กิเลสหรือเจตนา : ถ้ากิเลสหรือเจตนาแรงก็มีโทษมาก ถ้ากิเลสหรือเจตนาอ่อนก็มีโทษน้อย เช่น ฆ่าสัตว์ด้วยโทสะ มีโทษมากกว่าฆ่าด้วยป้องกันตัว[๓]
แม้ในศีลข้ออื่น ๆ พระอรรถกถาจารย์ก็กล่าวถึงการละเมิดที่มีโทษมากหรือโทษน้อยไว้แนวเดียวกัน เช่น อทินนาทานมีโทษมากหรือน้อยตามคุณค่าของสิ่งของ คุณความดีของเจ้าของ และความพยายามในการลัก กาเมสุมิจฉาจาร มีโทษมากหรือน้อยตามคุณความดีของคนที่ถูกละเมิด ความแรงของกิเลสและความเพียรพยายาม มุสาวาทมีโทษมากหรือน้อย แล้วแต่ประโยชน์ที่จะถูกตัดรอนเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กน้อย และแล้วแต่ผู้พูด เช่น คฤหัสถ์จะไม่ให้ของของตน พูดไปว่าไม่มี ก็ยังมีโทษน้อย ถ้าเป็นพยานเท็จมีโทษมาก สำหรับบรรพชิตพูดเล่นมีโทษน้อย จงใจบอกของที่ไม่เคยเห็นว่าเห็น มีโทษมาก สำหรับการดื่มของเมา มีโทษมากน้อยตามอกุศลจิตหรือกิเลสในการที่จะดื่ม ตามปริมาณที่ดื่ม และตามผลที่จะก่อให้เกิดการกระทำผิดพลาดชั่วร้าย[๔]
ผู้เขียนมองว่าหลักศีล ๕ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ค่อนข้างจะมีความยืนหยุ่นและมีความหมายกว้างกว่าการตีความของพระอรรถกถาจารย์ โดยเฉพาะถ้ามองในแง่ของการสร้างจิตสำนึกหรือความรู้แบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถือว่าเป็นจิตสำนึกที่ตระหนักรู้และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ดังข้อความตอนท้ายของพุทธพจน์ที่ยกมาข้างต้นว่า “อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์เองด้วย ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วย กล่าวสรรเสริญการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วย” (ในศีลข้ออื่น ๆ ก็มีข้อความอย่างเดียวกันนี้) ผู้เขียนมองว่า พุทธพจน์นี้ค่อนข้างจะสอดคล้องกับการตีความศีล ๕ แนวใหม่ของพระติช นัท ฮันห์ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบสากล (universal responsibility) และจิตสำนึกที่หวังประโยชน์เพื่อผู้อื่น (altruistic mind) ขององค์ทะไล ลามะ ด้วย
อย่างไรก็ตาม การตีความของพระอรรถกถาจารย์ในยุคหลังพุทธกาลที่เน้นการสร้าง กฎเกณฑ์ที่รอบคอบรัดกุม แม้จะมีประโยชน์ในแง่ที่ให้ความสะดวกในการวินิจฉัยหรือชี้ชัดลงไปว่าพฤติกรรมนั้น ๆ เข้าข่ายผิดศีลหรือไม่ผิด แต่ในขณะเดียวกันกฎเกณฑ์เหล่านี้ก็มีส่วนทำให้ศีลแต่ละข้อมีลักษณะหยุดนิ่งตายตัวและมีขอบเขตคับแคบลงจนกลายเป็นเรื่องของพฤติกรรมส่วนตัวของแต่ละบุคคล และเกณฑ์สำหรับวินิจฉัยการละเมิดศีลแต่ละข้อก็มุ่งการตัดสินพฤติกรรมทางศีลธรรมที่บุคคลหนึ่ง ๆ กระทำขึ้นเท่านั้น บางครั้งการรักษาศีลก็กลายเป็นเพียงการเฝ้าระวังพฤติกรรมของใครของมันไม่ให้เข้าข่ายการผิดศีลตามเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้เหมือนกับการระวังตนไม่ให้ผิดกฏหมายบ้านเมือง ซึ่งการรักษาศีลแบบนี้อาจจะไม่ได้มาจากจิตสำนึกที่มองกว้างออกไปถึงประโยชน์ที่สังคมจะได้รับก็ได้ ในที่สุดจิตสำนึกหรือเจตนารมณ์อันกว้างขวางที่อยู่เบื้องหลังการรักษาศีล ๕ ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ก็หมดความสำคัญลง
การขยายขอบเขตของศีลหรือวินัยเพื่อให้ครอบคลุมประเด็นปัญหาใหม่ ๆ ในสังคมไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล แม้พระพุทธเจ้าเองก็ทรงปรับปรุงแก้ไขพระวินัยที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้เองบ่อย ๆ ในกรณีที่พฤติกรรมการละเมิดพระวินัยของพระภิกษุมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ปาราชิกข้อที่ ๑ ที่ว่าด้วยการห้ามเสพเมถุน ครั้งแรกบัญญัติขึ้นมาห้ามไม่ให้ภิกษุเสพเมถุนกับสตรีเพศ โดยปรารภเหตุที่พระสุทินไปเสพเมถุนกับภรรยาเก่าของตน ต่อมาปัญหาการเสพเมถุนของภิกษุมีความซับซ้อนมากขึ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงขยายขอบเขตของวินัยข้อนี้ให้ครอบคลุมทั้งการเสพเมถุนกับมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย ซึ่งเรียกว่า“อนุบัญญัติ” [๕] ถ้ากลุ่มเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติตีความโดยยึดตามเจตนารมณ์ของศีล ๕ ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ในพุทธพจน์ข้างต้น ผู้เขียนมองว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะสามารถทำได้อย่างนั้น แต่จะมีปัญหาอย่างหนึ่งตามมา คือ เนื่องจากว่ากลุ่มเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมฯ ได้ตีความศีล ๕ ในแง่ของการขยายขอบเขตความหมายของศีลเท่านั้น โดยไม่ได้สร้างกฎเกณฑ์สำหรับวินิจฉัยปัญหาเหมือนอย่างที่พระอรรถกถาจารย์เคยทำมาแล้ว ดังนั้น เมื่อนำเอาไปใช้ในสถานการณ์ของปัญหาจริยธรรมจริง ๆ จะสร้างปัญหาในการตัดสินขึ้นมาทันที เช่น กรณีการละเมิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ถ้าเราเดินเข้าไปในร้านค้าแล้วจงใจขโมยแผ่นซีดี-รอม (CD-ROM) มาแผ่นหนึ่ง ก็คงจะไม่มีปัญหาในการตัดสิน เพราะสามารถใช้เกณฑ์ของพระอรรถกถาจารย์มาตัดสินได้ แต่ถ้าเป็นกรณีโปรแกรมคอมผิวเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ บางครั้งที่มีการละเมิดต่อ ๆ กันมาเป็นร้อยเป็นพันทอด เป็นเรื่องยากมากที่จะเอาองค์ประกอบของอทินนาทานทั้ง ๕ ข้อมาจับแล้วตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด ดังนั้น ผู้เขียนจึงมองว่า ตราบใดที่เครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ อาศัยแต่ตีความศีล ๕ อย่างเดียวโดยไม่สร้างเกณฑ์สำหรับวินิจฉัยปัญหาขึ้นมาด้วย การตีความแบบนี้จะสามารถนำไปตอบปัญหาทางจริยธรรมในสังคมสมัยใหม่ได้ในระดับภาพรวมกว้าง ๆ เท่านั้น คือ ให้ยึดเกณฑ์คือเจตนารมณ์พื้นฐานของศีล ๕ เป็นตัวตัดสิน ถ้าการกระทำใดก็ตามที่ไม่เป็นไปโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของศีลที่มุ่งประโยชน์สุขของบุคคลและสังคม ให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นการละเมิดศีล ต่อไปนี้คือแผนภูมิเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการตีความศีล ๕ ของพระอรรถกถาจารย์ กับการตีความของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมฯ
เปรียบการตีความศีลห้าแบบเดิมกับการตีความแบบใหม่
ศีลห้า |
การตีความแบบเดิม (อรรถกา) |
การตีความแบบใหม่ |
๑.ปาณาติบาต |
ปาณาติบาต หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งลงมือฆ่าสัตว์อื่นให้ตาย โดยมีเกณฑ์การตัดสินที่ชัดเจน ๕ ประการ คือ ๑) สัตว์มีชีวิต ๒) รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต ๓) มีจิตคิดจะฆ่า ๔) มีความพยายามในการฆ่า ๕) สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น |
ปาณาติบาต นอกจากจะหมายถึงการพรากชีวิตของคนอื่นแล้ว ยังครอบคลุมการใช้ความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การค้าอาวุธสงคราม การก่อสงคราม การใช้แรงงานเด็ก การกดขี่ข่มเหงผู้ใช้แรงงาน การตัดไม้ทำลายป่า การทำลายสิ่งแวดล้อม การเสนอภาพข่าวความรุนแรง |
๒.อทินนาทาน |
อทินนาทาน หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งไปลักขโมยทรัพย์ของคนอื่น โดยมีเกณฑ์ตัดสิน ๕ ประการ คือ ๑) ของผู้อื่นหวงแหน ๒) รู้อยู่ว่าเขาหวงแหน ๓) จิตคิดจะลัก ๔) มีความพยายามลัก ๕) ลักของได้ด้วยความพยายามนั้น |
อทินนาทาน นอกจากจะหมายถึงการลักทรัพย์คนอื่นโดยตรงแล้ว ยังหมายถึงการแย่งชิงทรัพยากร การปั่นหุ้น การเก็งกำไรค่าเงิน การละเมิดทรัพย์สินทางปัญหา การขโมยข้อมูลข่าวสารอันเป็นความลับส่วนบุคคล เป็นต้น
|
๓.กาเมสุมิจฉาจาร |
กาเมสุมิจฉาจารเน้นการที่บุคคลหนึ่งประพฤติผิดทางเพศต่อสตรีหรือบุรุษที่เป็นคู่ครองของคนอื่น มีเกณฑ์ตัดสิน ๔ ประการ ๑) สตรีหรือบุรุษที่ไม่ควรละเมิด ๒) จิตคิดจะเสพ ๓) มีความพยายามในการเสพ ๔) ยังอวัยวะสืบพันธุ์ให้ถึงกัน |
กาเมสุมิจฉาจาร นอกจากจะหมายถึงการละเมิดภรรยาสามีของคนอื่นแล้ว ยังหมายถึงการค้าประเวณี สื่อลามกอนาจาร ความมัวเมาในการเสพบริโภค การมีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากพันธสัญญาและความรับผิดชอบ และสื่อบันเทิงที่ทำให้มัวเมาหรือยั่วยุกามารมณ์ เป็นต้น |
๔.มุสาวาท |
มุสาวาท เน้นการพูดเท็จของบุคคลหนึ่งต่ออีกบุคคลอื่น มีเกณฑ์ตัดสิน ๔ ประการ คือ ๑) เรื่องไม่จริง ๒) จิตคิดจะกล่าวให้คลาดเคลื่อน ๓) มีความพยายามที่จะกล่าวให้คลาดเคลื่อน ๔) ผู้อื่นเข้าใจความที่พูดนั้น |
มุสาวาท นอกจากจะหมายถึงการพูดเท็จแบบตรง ๆ แล้ว ยังหมายถึงการปกปิดข้อมูลข่าวสาร เสนอการเสนอข่าวสารเพียงด้านเดียว การโฆษณาเกินความจริง การแสวงหาประโยชน์จากความได้เปรียบด้านข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น
|
๕.สุราเมรยมัชช-ปมาทัฏฐาน |
สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน เน้นให้ปัจเจกบุคคลแต่ละคนงดเว้นจากการเสพสุราและของมึนเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท มีเกณฑ์ตัดสิน ๕ ประการ คือ ๑) สิ่งนั้นเป็นของเมา ๒) จิตใคร่จะดื่ม ๓) มีความพยายามในการดื่ม ๕) กลืนให้ล่วงลำคอลงไป |
สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน นอกจากจะหมายถึงการเสพสุราและของมึนเมาแล้ว ยังหมายถึง การหลงมัวเมาในการเสพสื่อบันเทิง การโฆษณาสินค้าที่มอมเมาประชาชน การค้าขายของมึนเมา เป็นต้น
|
๕. สรุป
จากคำถามที่ผู้เขียนกำหนดไว้ในตอนต้น ๓ ข้อ คือ
๑) มิติทางสังคมของศีล ๕ ตามทัศนะของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติเป็นอย่างไร ? ผลการศึกษาทำให้ทราบว่า นักวิชาการตะวันตกที่สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาในเชิงวิชาการ ส่วนใหญ่จะเชื่อว่าพระพุทธศาสนาไม่มีมิติทางสังคม เพราะเป็นระบบจริยธรรมที่มุ่งเน้นการปฏิเสธโลกและความหลุดพ้นส่วนบุคคล ส่วนพระพุทธศาสนาเพื่อสังคมในสังคมปัจจุบัน ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางศาสนาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา หากแต่เกิดจากแรงกดดันของวิกฤตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ และปัญหาทางศีลธรรมของสังคมโลกยุคใหม่ ปัญหาเหล่านี้ผลักดันให้ชาวพุทธต้องปรับเปลี่ยนระบบจริยธรรมให้มีมิติทางสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การผลักดันนโยบายสาธารณะ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม ทั้งนี้เพื่อทำให้พระพุทธศาสนามีฐานยืนและสามารถตอบปัญหาสังคมยุคใหม่ได้ ส่วนนักคิดหรือนักศาสนาที่เป็นชาวพุทธมาแต่เดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพระราหุล อริยรัตนะ พระติช นัท ฮันห์ องค์ทะไล ลามะ และพระเขมธัมโม และชาวพุทธไทย เช่น พุทธทาสภิกขุ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นพ.ประเวศ วสี มีความเห็นตรงกันว่าพระพุทธศาสนามีมิติทางสังคมและให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาในระดับโครงสร้างสังคม โดยเฉพาะพระติช นัท ฮันห์ ประกาศชัดเจนว่า “พระพุทธศาสนาทั้งหมดต้องผูกพันกับสังคม” (All Buddhism is engaged) เพียงแต่รูปแบบการทำงานเพื่อสังคมอาจจะแตกต่างกันบ้างตามสภาพปัญหาของแต่ยุคสมัย โดยหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ถือว่าเกี่ยวข้องกับสังคมโดยตรง ได้แก่ ศีล หรือวินัย เพราะเกี่ยวข้องกับการจัดวางระบบความสัมพันธ์ทางสังคม จัดโครงสร้าง และจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการเข้าถึงสัจธรรม
๒) ตามทัศนะของเครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ การตีความศีล ๕ ในแนวจารีต มีข้อจำกัดในการตอบปัญหาสังคมโลกยุคใหม่อย่างไร ? ผลการศึกษาทำให้ทราบว่า เครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมฯ มองว่า การตีความศีล ๕ ตามแนวจารีตประเพณีเป็นรูปแบบการตีความเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาของสังคมแบบเกษตรกรรม ซึ่งเป็นปัญหาทางศีลธรรมแบบง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่สังคมปัจจุบันเป็นสังคมแบบอุตสาหกรรม เป็นสังคมยุคข้อมูลข่าวสาร และปัญหาทางศีลธรรมก็มีความสลับซับซ้อนตามความซับซ้อนของสังคม ศีลเป็นเรื่องของบัญญัติหรือการออกแบบเพื่อตอบปัญหาสังคม เราจะออกแบบศีลอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่าสภาพปัญหาทางศีลธรรมในบริบททางสังคมขณะนั้น ๆ เป็นอย่างไรเป็นสำคัญ
๓) เครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติได้เสนอวิธีการตีความศีล ๕ แบบใหม่อย่างไร ? ผลการศึกษาทำให้ทราบว่า เครือข่ายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมฯ ได้ตีความศีลห้าโดยเน้น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเจตนารมณ์ของศีล และส่วนที่เป็นคำนิยามของศีล ส่วนที่เป็นเจตนารมณ์ของ หมายถึง เจตนารมณ์ที่มุ่งให้มนุษย์ในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่เบียดเบียนกัน ให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา นอกจากนั้น เจตนารมณ์ของศีลยังครอบคลุมถึงการจัดระบบโครงสร้างทางสังคม ความสัมพันธ์ทางสังคมและสภาพแวดล้อมความที่เอื้อต่อการเข้าถึงสัจธรรม ส่วนการคำนิยามความหมายของศีล เครือข่ายพุทธฯ มองว่า ศีลห้าต้องมีพลวัตรและมีความหมายที่ยืดหยุ่น ต้องสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความซับซ้อนของปัญหาในแต่ละยุดสมัย คือ ศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ ต้องให้ครอบคลุมถึงปัญหาความรุนแรงประเภทต่าง ๆ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น ปัญหาสงคราม ปัญหาการก่อการร้าย ปัญหาการใช้สารเคมี ปัญหาการใช้แรงงานเด็ก การทำแท้ง และการติดต่อพันธุกรรมของพืชและสัตว์ ศีลข้อห้ามลักทรัพย์ ต้องขยายความให้ครอบคลุมถึงการลักทรัพย์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การพัฒนาประเทศที่กระจายรายได้อย่างไม่เป็นธรรม การครอบครองทรัพยากรธรรมชาติของกลุ่มนายทุนหรือผู้มีอิทธิพล การจ่ายค่าแรงอย่างไม่เป็นธรรม การละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา หรือการปั่นราคาหุ้น เป็นต้น ศีลข้อห้ามประพฤติผิดในกาม ต้องขยายให้ครอบคลุมถึงปัญหาโสเภณี การเผยแพร่สื่อลามกอนาจารที่ยั่วยุให้เกิดความกำหนัดทางเพศ ศีลข้อห้ามพูดมุสา ต้องให้ครอบคลุมปัญหาการปิดบังความจริงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ปัญหาการโฆษณาสินค้าแบบเกินจริง การโฆษณาชวนเชื่อของพวกนักการเมือง และการไม่ทำตามนโยบายของรัฐบาล และศีลข้อห้ามดื่มสุราและเมรัย ต้องให้ครอบคลุมถึงยาเสพติดทุกชนิดและสิ่งมอมเมาในรูปแบบใหม่ๆ เช่น สื่อที่มอมเมาประชาชน ทำให้หลงผิดหรือหลงใหลมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น ๆ โดยสรุป แนวคิดในการตีความศีล ๕ แบบใหม่ของกลุ่มชาวพุทธเพื่อสังคม คือ ต้องการให้ศีล ๕ มีความหมายครอบคลุมปัญหาสังคมยุคใหม่ได้ทั้งหมด แทนที่จะเป็นเพียงการละเมิดกันระหว่างบุคคลกับบุคคลแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น
[๑] สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๐๓/๕๐๒.
[๒] ข.ขุ.อ. (บาลี) ๒๒., ขุ.อิติ.อ. (บาลี) ๒๙๙–๓๐๔., มงฺคล.(บาลี) ๑/๑๙๙–๒๒๔/๒๐๐–๒๑๗.
[๓] ข.ขุ.อ. (บาลี) ๒๒., ขุ.อิติ.อ. (บาลี) ๒๙๙–๓๐๔., มงฺคล.(บาลี) ๑/๑๙๙–๒๒๔/๒๐๐–๒๑๗.
[๔] ข.ขุ.อ. (บาลี) ๒๒., ขุ.อิติ.อ. (บาลี) ๒๙๙–๓๐๔., มงฺคล.(บาลี) ๑/๑๙๙–๒๒๔/๒๐๐–๒๑๗.
[๕]วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๙–๔๔/๒๗–๓๒.
บรรณานุกรม
๑.ภาษาไทย :
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี. ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ, ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
_________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
_________.อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาอฏฺฐกถา. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์-
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
ข. ข้อมูลทุติยภูมิ
(๑) หนังสือ :
ติช นัท ฮันห์. แปลโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์. ศานติในเรือนใจ : เรียนรู้ศิลปะการดำเนินชีวิตอย่าง
มีสติและผาสุก. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๓.
_________. ด้วยปัญญาและความรัก. แปลโดยรสนา โตสิตระกูล. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมล
คีมทอง, ๒๕๓๗.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. คนจนกับนโยบายการทำให้จนของรัฐ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๔๓.
_________.พุทธศาสนาในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๓.
ประเวศ วสี, ศ.น.พ. ธรรมิกสังคม. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๒.
ปรีชา ช้างขวัญยืน. ความคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ. กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๘.
พระดุษฎี เมธงฺกุโร. การพัฒนาสังคมตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์
มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๓๒.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ. กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒.
_________. นิติศาสตร์แนวพุทธ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท สหธรรมิก จำกัด, ๒๕๓๙.
พระประชา ปสนฺนสมฺปนฺโน. เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง,
๒๕๓๕.
พระไพศาล วิสาโล. พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต. กรุงเทพมหานคร:
มูลนิธิสัดศรี-สฤษดิ์วงศ์, ๒๕๔๖.
พุทธทาสภิกขุ. ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์. ไชยา : คณะธรรมทาน ไชยา, ๒๕๒๑.
_________. ปณิธานของพุทธทาสภิ กขุ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, ๒๕๓๓.
พุทธทาส อินทปัญโญ. ธัมมิกสังคมนิยม .กรุงเทพหมานคร: สำนักพิมพ์สยามประเทศ, ๒๕๓๘.
พุทธินันท์ โพธิ์จินดา. พุทธศาสนากับความคิดทางการเมืองของ ส.ศิวรักษ์. กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, ๒๕๒๗.
มหามกุฏราชวิทยาลัย. มงฺคลตฺถทีปนิยา ปฐโม ภาโค. กรุงเทพมหานคร :
รงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๔.
วีระ สมบูรณ์. อริยวินัยสำหรับคริสต์วรรษที่ ๒๑. กรุงเทพมหานคร : โกมล คีมทอง, ๒๕๔๕.
ส. ศิวรักษ์. ศาสนากับสังคม. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, ๒๕๒๕.
สมภาร พรมทา. พุทธปรัชญา มนุษย์ สังคม และปัญหาจริยธรรม ธรรม. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๒.
สุจิตต์ วงศ์เทศ. บรรณาธิการ. พิเคราะห์ “นิธิ” ปราชญ์เจ๊ก ๆ. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มติชน,
๒๕๔๔.
สุนัย เศรษฐบุญสร้าง. การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของพุทธศาสนาในสังคมไทย. กรุงเทพมหานคร:
บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด, ๒๕๔๒.
(๒) บทความ :
ส.ศิวรักษ์ “ประชุมพุทธศาสนาเพื่อสังคมที่เกาหลี.” เสขิยธรรม ๕๘ (ตุลาคม-ธันวาคม, ๒๕๔๖) : ๑๑.
๒. ภาษาอังกฤษ
(1) Books.
Aitken, Robert. The Mind of Clover: Essays in Zen Buddhist Ethics. San Francisco: North
Point Press, 1984.
Aronson, Harvey B. Love and Sympathy in Theravada Buddhism. Delhi : Motilal Banarsidass,
1980.
Bellah, Robert. Beyond Belief : Essays on Religion in a Post-Traditional World .New York:
Harper and Row, 1970.
Gombrich, Richard. Theravada Buddhism : A Social History from Ancient Benares to
Modern Colombo. London and New York: Rout ledge & Kegan Paul, 1988.
Heng-ching, Shih. The Sutra on Upasaka Precepts. Berkley, CA: Buddyo Dendo Kyokai,
1991.
Hurvitz, Leon. Scripture of the Lotus Blossom of the Fine Dharma (the Lotus Sutra).
New York: Columbia University Press, 1976.
Jones, Ken. Buddhism and Social Action. Kandy: The Wheel Publication, 1981.
Kaplan Robert D. The Ends of the Earth : A Journey at the Dawn of the Twenty-First
Century .New York : Random House, 1996
. An Empire Wilderness: Travels into America’s Future .New York:
Random House, 1998.
Keown, Damien . A Dictionary of Buddhism. New York: Oxford University Press, 2003.
. The Nature of Buddhist Ethics. London: Macmillan, 1992.
Keer, Dhananjay (ed.) Dr.Ambedkar Life and Mission. Bombay: Popular Prakashan, 1971.
Kleinman, Arthur; Das,Veena; and Lock, Margaret (eds.). Social Suffering. Berkley: University of California Press, 1996.
Krishnan, Asha. Ambedkar and Gandhi: Emancipators of Untouchables in Modern India. Mumbai: Himalaya Publishing House, 1997.
Kratf, Kenneth ed. Inner Peace, Inner World : Essay s on Buddhism and Nonviolence.
New York : State University of New York press.
Kung, Hans. Theology for the Third Millennium: An Ecumenical View. New York:
Doubleday, 1988.
Murti, T.R.V. The Central Philosophy of Buddhism. London: George Allen and Unwin Ltd.,
1955.
Narain A.K. ed. Studies in the History of Buddhism. Delhi : B.R. Publishing Corp., 1980.
Nhat Hanh, Thich. Call Me By My True Names. Berkeley: Parallax Press, 1993.
. Love in Action: Wrtings on Nonviolent Social Change. Berkeley:
Parallax Press, 1993.
Nhat Hanh, Thich. Peace Is Every Step. New York: Bantam, 1991.
. Vietnam : Lotus in a Sea of Fire. New York: Hill and Wang, 1967.
Queen , Christopher S. (ed.). Engaged Buddhism : Buddhist Liberation Movements in Asia.
Albany: State Ubniversity of New York Press, 1996.
________ .Engaged Buddhism in the West . Boston: Wisdom Publications, 2000.
Rahula Walpola. The Heritage of the Bhikkhu: A Short History of the Bhikkhu in
Educational, Cultural, Social and Political Life. New York: Grove Press, 1974.
. Zen and the Taming of the Bull : Towards the Definition of Buddhism
Thought. London: Gordon Fraser, 1978.
Sizemore, Russell F. and Swearer, Donald K. (eds.). Ethics, Wealth, and Salvation : A Study
in Buddhist Social Ethics. Columbia, SC: University of South Carolina Press, 1990.
Webber, Max . Religion of India : The Sociology of Hinduism and Buddhism. New York:
The Free Press, 1958.
Williams, Duncan Ryuken and Queen, Christopher S. American Buddhism : Methods and Findings in Recent Scholarship .Surrey, UK: Curzon Press, 1999.
Williams, Paul. Mahayana Buddhism: The Doctricnal Foundations. London and New York: Routledge, 1989
(2) Articles.
Bond, George D. “A.T. Ariyatne and the Sarvodaya Shramadana Movement.” Engaged Budddhism: Buddhist Liberation Movements in Asia, ed. By Christopher S. Queen. New York: State University of New York Press, 1996.
Goss, Robert E. “Naropa Institute : The Engaged Academy.” Engaged Buddhism in the West.
ed. By Queen, Christopher S. Boston: Wisdom Publications, 2000.
Hunt-Perry, Patricia and Fine, Lyn. “All Buddhism Is Engaged : Thich Nhat Hanh And The Order
Of Interbieng.” Engaged Buddhism in the West. ed. By Queen, Christopher S.
Boston: Wisdom Publications, 2000.
King, Winston L. “Judeo-Christian and Buddhist Justice,” Journal of Buddhist Ethics 2 (1995).
Kosakarn, Panadda. “Summary Report of INEB Executive Meeting 1999.” Seeds of Peace 16
(May-August 2000) : 11.
Kraft, Kenneth . “Engaged Buddhism.” Engaged Buddhist Reader. ed. By Kotler, Arnold
Berkeley : Parallax Press, 1996.
Lama, The Dalai. “Cultivating Altruism,” Engaged Buddhist Reader, ed. By Kotler, Arnold
Berkeley : Parallax Press, 1996.
Queen , Christopher S. “The Peace Wheel: Nonviolent Activism in the Buddhist Tradition.”
Subverting Hatred: The Challenge of Nonviolence in Religious Traditions.
Boston: Boston Research Center for the Twenty-First Century, 1998.
SEM. “Report on the Sixth SEM Annual Lecture.” Seeds of Peace 17 (January-April 2001): 29.
Smith, Bardwell L. “Sinhalese Buddhism and the Dilemmas of Reinterpretation.” The Two
Wheels of Dhamma : Essays on the Theravada Tradition in India and Ceylon,
ed. By Smith. Pennsylvania: American Academy of Reeligion, 1972.
Wijesekera, O.H. DeA. “The Symbolism of the Wheel in the Cakravartin Concept,” Buddhist and Verdic Studies. Delhi: Motilal Banarsidass, 1994.
Zelliot, Eleanor. “Gandhi and Ambedkar: A Study in Leadership,” From Untouchable to Dait: Essays on the Ambedkar Movement. New Delhi: Manohar, 1992.
ไม่มีความเห็น