กำหนดการในห้องย่อย KM กับการพัฒนาวิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
ช่วงเช้า
วิทยากรจากกรมส่งเสริมการเกษตร 3 ท่าน
1. คุณสำราญ สาราบรรณ์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร 8ว
กองวิจัยและพัฒนางานส่งเสริมการเกษตร
2. คุณจำลอง พุฒซ้อน นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร 7ว
สำนักงานเกษตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
3. คุณธัญชนก เหล่าโนนคร้อ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 6ว. กองแผนงาน
10.50 – 11.00 น. กล่าวชี้แจงวัตถุประสงค์และแนะนำวิทยากร
(อุรพิณ ชูเกาะทวด)
11.00 – 11.30 น. “จุดเริ่มต้นของการนำกระบวนการจัดการความรู้เข้าไปใช้ในหน่วยงาน”
วิทยากรจากกรมส่งเสริมการเกษตรทั้ง 3 ท่าน
11.30 – 11.45 น. “ความประทับจากการนำการจัดการความรู้เข้าไปใช้ในหน่วยงาน”
วิทยากรจากกรมส่งเสริมการเกษตรทั้ง 3 ท่าน
11.45 – 12.00 น. แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าร่วม
ช่วงบ่าย
วิทยากรจากจังหวัดชุมพร 4 ท่าน
1. คุณจุรีรัตน์ จันทร์ภักดี เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 6ว
สำนักงานจังหวัดชุมพร
2. คุณประสงค์ บุญเจริญ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร
สำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพร
3. คุณไอศูรย์ ภาษยะวรรณ์ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดชุมพร
4. คุณสัมพันธ์ ภุกาม นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร 6
สำนักงานเกษตรจังหวัดชุมพร
13.00 – 13.10 น. กล่าวชี้แจงวัตถุประสงค์และแนะนำวิทยากร
(อุรพิณ ชูเกาะทวด)
13.10 – 13.50 น. จุดเริ่มต้นของการนำกระบวนการจัดการความรู้เข้าไปใช้ในหน่วยงาน”
คณะทำงานจัดการความรู้จังหวัดชุมพร 4 ท่าน
13.50 – 14.10 น. “ความประทับจากการนำการจัดการความรู้เข้าไปใช้ในหน่วยงาน”
คณะทำงานจัดการความรู้จังหวัดชุมพร 4 ท่าน
14.10 – 14.30 น. แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าร่วม
เมื่อกระบวนการจัดการความรู้เป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่งที่สำคัญตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ส่งผลให้หน่วยงานต่างๆ ในภาคราชการต้องค้นหา ศึกษากระบวนการจัดการความรู้เพื่อนำกลับไปใช้ในหน่วยงานของตน
ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญและหน่วยงานส่วนใหญ่มักจะมองข้ามคือ เมื่อกำหนดเป้าหมายของหน่วยงานได้แล้วแต่กลับไม่ได้สร้างความเป็นเจ้าของร่วม (Shared Vision) จากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทำให้การทำงานไม่สะดวกราบรื่นเท่าที่ควร แต่จังหวัดชุมพรซึ่งมีเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า
“เพื่อให้องค์กรสามารถจัดการความรู้ตามแนวทางเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) เพื่อนำไปสู่การผลิตที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย (Food Safety)”
สามารถก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปได้อย่างง่ายดาย โดยใช้ “ยุทธศาสตร์เจ้าของหัวปลา” เปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนได้แสดงความคิดเห็นต่อเป้าหมายของจังหวัดที่จัดทำขึ้นมาจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ผลจากเวทีนั้นพบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับเป้าหมายถึงร้อยละ 66 ซึ่งแม้จะทำให้ขนาดของหัวปลาที่ตั้งไว้เดิมลดลงไปบ้าง แตกต่างกันบ้างตามบริบทของพื้นที่ แต่ยังคงนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
นอกจากนี้ผลพวงอื่นๆ ที่ตามมาจากการเห็นพ้องต้องกันนั้นก็มีมากมาย เช่น เกิดการทบทวนตัวเอง, สามารถลดความซ้ำซ้อนของการทำงานระหว่างหน่วยงาน, เกิดกิจกรรม KM สัญจร เป็นต้น
“มุ่งมั่นพัฒนาเกษตรกรให้มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ชุมชนเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน”
จากแนวทางการดำเนินงานที่ต้องขยายและถ่ายทอดความรู้ให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้มีข้อจำกัดเรื่องคุณภาพที่จะตามมา กรมส่งเสริมการเกษตรจึงเริ่มต้นดำเนินงานด้วยกระบวนการจัดการความรู้ในจังหวัดนำร่องเพียง 9 จังหวัด คือ กำแพงเพชร, น่าน, อุบลราชธานี, นครศรีธรรมราช, นครพนม, สตูล, นครนายก, สมุทรสงครามและอ่างทอง โดยใช้ประเด็น “การพัฒนากลุ่ม/องค์กรวิสาหกิจชุมชนและเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการสินค้าเกษตร” เป็นตัวเดินเรื่อง
ในปี 2548 ใช้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งแบบเห็นหน้าเห็นตาและช่องทางอื่นๆ เช่น เว็บไซต์ของกรมส่งเสริมการเกษตร บล็อกของ สคส. เป็นต้น
ปี 2549 กรมส่งเสริมการเกษตรได้ให้จังหวัดนำร่องเดิมคัดเลือกจังหวัดใกล้เคียงเพื่อเป็นการขยายผลแบบเพื่อนช่วยเพื่อนอีก 9 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก, แพร่, พระนครศรีอยุธยา, ศรีษะเกษ, พัทลุง, ตรัง, มุกดาหาร, ปราจีนบุรีและนครปฐม รวมทั้งขยายไปสู่กรม กองต่างๆ ภายในกรมส่งเสริมการเกษตรด้วย ซึ่งแต่ละจังหวัดและหน่วยงานภายในได้ดำเนินการจัดการความรู้ไปบ้างแล้ว แต่อาจมีความเข้มข้นแตกต่างกันบ้าง โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาคน งาน และองค์กร ทั้งยังมีการสอบทานความชัดเจนกันตลอดเวลาว่าทำเพื่ออะไร ทำอย่างไร
ทั้งนี้ก็เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือที่ตรงกับบริบทและวัฒนธรรมของกรมส่งเสริมการเกษตรมากที่สุด บุคลการได้พัฒนาตนเอง ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ก่อเกิดเครือข่ายที่หลากหลายรูปแบบในทุกระดับ คือ ระดับเกษตรกร ระดับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานส่วนกลาง
ไม่มีความเห็น