เมื่อวันพุธที่ 28 มิถุนายน 2549 ผมได้มีโอกาสขึ้นเวทีอภิปรายเป็นคณะ เรื่อง การประสานแผนชุมชน / แผนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับแผนงานด้านแรงงาน โดยต้องทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ดำเนินการอภิปรายและร่วมอภิปรายกับผู้ทรงคุณวุฒิอีก 2 ท่าน คือ นายบุญโชติ จองกฤษ ผู้จัดการธนาคาร ธกส.สาขาระนอง และนายจำเริญ สุวพิศ รองนายก อบต.บ้านนา หรือที่ผมชอบเรียกท่านด้วยความคุ้นเคยว่า “ครูจำเริญ”
ในวันนั้น ครูจำเริญ ขอคิวเป็นผู้อภิปรายเป็นคนแรก เพราะติดภารกิจต้องไปประชุมที่ศาลากลางจังหวัดในเรื่องของการเตรียมการรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่มีหมายกำหนดการจะเสด็จมาจังหวัดชุมพรในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคาร “หมอพร” ณ โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และจะเสด็จไปยังตำบลบ้านนา เพื่อรับมอบที่ดินที่มีผู้บริจาคให้ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์
ครูจำเริญสะท้อนปัญหาแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของแรงงานจากประเทศพม่าในพื้นที่ตำบลบ้านนา และทั่วทั้งจังหวัดชุมพรไว้อย่างน่าสนใจ โดยยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนทั้งในแง่ของประโยชน์ในกิจการทางด้านการเกษตร และภัยคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน, การสาธารณสุข ฯลฯ
จะว่าไปแล้วเรื่องที่ครูจำเริญนำเสนอไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในท้องถิ่นจังหวัดชุมพร แต่ความชัดเจนในตัวปัญหาทำให้ผมเก็บมาคิดวิเคราะห์เชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่น ๆ ที่มองเห็นเป็นปัญหา และขอทำหน้าที่คาดการณ์ถึงสภาวะของท้องถิ่นชนบทจังหวัดชุมพรในอีก 5-10 ปีข้างหน้าสัก 2 – 3 ปัญหา ดังนี้
ปัญหาเหล่านี้ผมหยิบยกขึ้นมาเสมือนหนึ่งเป็นสมมุติฐานให้ผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาคัดค้าน โดยเฉพาะองค์กรส่วนท้องถิ่นในระดับต่าง ๆ แต่ต้องไม่ใช่การลบล้างโดยใช้อารมณ์, ความรู้สึกเป็นตัวกำหนด ท่านควรจะศึกษาข้อมูลย้อนหลังดูแนวโน้มของประชากรที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมา แล้วลองคาดการณ์ไปล่วงหน้าสัก 5 - 10 ปี บางทีความชัดเจนในตัวปัญหาอาจจะทำให้ท่านหันมาให้ความสำคัญกับภารกิจทางด้านสังคม, การศึกษา, สาธารณสุข และแรงงาน มากกว่าที่เป็นอยู่
จะมีประโยชน์อะไรที่มุ่งมาถกเถียงขัดแย้งกันในเรื่องของการถ่ายโอน, ยอดงบประมาณจัดสรร, ใครมีอำนาจควบคุมบังคับบัญชา ฯลฯ ถ้าต่อไปจะไม่เหลือแม้แต่องค์กรให้บริหารงาน.
ไม่มีความเห็น