เมื่อ คนไปเชียร์ ถูกเชียร์ซะเอง


การเพิ่มพลังอำนาจ เกิดได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้ามีหัวใจและความเชื่อมั่นในกันและกัน

คนขับรถ ผู้มีคุณค่า

      แสงแดดอ่อนๆยามเช้า  คงพยายามขับไล่ความง่วงของผม ทีละน้อยอย่างเชื่องช้า  ประกอบกับ วิวทิวทัศน์ ป่าเขาสองข้างทาง ดูสงบเงียบ เยือกเย็น ท่ามกลางสายหมอกลอยเอื่อย ไล่เรียบชายเขาสลับซับซ้อน ตลอดทางที่ถนนคดเคี้ยวตลอด สามชั่วโมงที่นั่งมาใน รถกระบะโรงพยาบาล    ผมเหลียวไปมองคนขับรถ ด้วยความรู้สึกเกรงใจอยู่ลึกๆ เพราะ รู้ดีว่า เขาคงต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย  กับการที่จะต้องออกมาจาก รพ.ตั้งแต่เที่ยงคืน เพื่อที่จะมาทันรับผมตั้งแต่ยังไม่สว่าง  และขับกลับทันที เพื่อให้ นำผมไปประชุมกับทีมงานคุณภาพ และเจ้าหน้าที่ รพ.ก่อน เก้าโมงเช้า

            เหนื่อยแย่เลยนะครับ คงต้องออกมาแต่เช้า   ผมเริ่มบทสนทนา เพื่อทำความรู้จัก เมื่อถนนเข้าสู่ทางตรงช่วงสั้นๆ

            เขายิ้มให้ผม และตอบกลับมา ไม่เท่าไหร่ครับ ปกติก็ต้องขับรถส่งคนไข้ทุกคืนอยู่แล้วครับ

            เป็นคำตอบที่ผมคาดว่าจะได้รับ  แต่ต้องยอมรับว่า รอยยิ้มของเขา สร้างความประหลาดใจแก่ผมอย่างมาก  เพราะไม่คาดว่า  เขาจะยังคงสดชื่น ทั้งๆที่ขับรถมามากกว่าหกชั่วโมงแล้ว  ผมก็เลยถือโอกาสชวนคุยต่อ

            รพ.อยู่ไกลมากนะครับ   เจ้าหน้าที่คงมีไม่มาก  ตอนนี้ยังต้องมาพัฒนาคุณภาพอีก

            ครับ  คนไข้วันละสองสามร้อยครับ  คุณหมอก็มีแค่สองคน พยาบาลสิบกว่าคน เห็นเหนื่อยกันทุกคนครับ  แต่ผมก็รู้สึกว่า ไม่มีใครท้อแท้เลยครับ เขาตอบด้วยท่าทีเชื่อมั่น

           แล้วพี่ได้มีโอกาส เข้าช่วยงานพัฒนาคุณภาพหรือเปล่าครับ

           แน่นอนครับ   ทุกคนในรพ.จะอยู่ในทีมพัฒนาคุณภาพ ไม่ว่า คนรถ คนสวน คนงานครับ  แต่อย่างไง พวกผมก็คงช่วยได้ไม่มากนัก เพราะเรียนมาน้อย ความรู้จำกัดจริงๆครับ เขาตอบอย่างไม่สู้มั่นใจนิดๆ

          ช่วยได้สิครับ  โรงพยาบาลจะมีคุณภาพต้องมาจากคนที่มีคุณภาพ ร่วมมือกันครับ ผมก็ติดประโยคมาตรฐาน โฆษณาจูงใจตามเคย 

          เขาดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อย ตอบผมเกือบจะทันทีว่า คงไม่ถึงขนาดเป็นคนคุณภาพหรอกครับอาจารย์   แค่ทุกคนอยากช่วย อยากมีส่วนร่วม คนละไม้คนละมือ เท่าที่ทำได้ล่ะครับ

          ผมสัมผัสได้ถึง ความรู้สึกที่อบอุ่นที่เขาสะท้อนออกมา  จนต้องนิ่งคิดอะไรอีกหลายๆอย่าง ก็พอดีกับช่วงขณะที่  เขากำลังพยายามมากขึ้น เพื่อบังคับรถที่กำลังคืบคลานอย่างช้าๆ เลี้ยวไปเลี้ยวมาตัดโค้งแคบๆด้วยความยากลำบาก บนถนนที่ดูเหมือนจะขึ้นๆลงๆไม่หยุดหย่อน ผมเลยต้องหยุดรบกวนสมาธิเขาชั่วคราว

             อย่างไรก็ต้องขอบคุณนะครับ  ที่ต้องลำบากให้มารับ จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน   ผมขอบคุณเขาอย่างจริงใจ

            อาจารย์อย่าเกรงใจเลยครับ  ที่ผมทำไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร ผมตั้งใจและดีใจที่ได้ มารับอาจารย์  และขอบคุณอาจารย์จริงๆ  ขอให้อาจารย์ช่วยแนะนำอย่างเต็มที่นะครับ  ผมเห็น คุณหมอ  พี่พยาบาล  กับเพื่อนๆ ก็ประชุมกันทุกวัน  ระดมกำลังกันมาหลายเดือนแล้ว  คงมีปัญหาที่ติดค้างอยู่มาก ผมคิดว่า ตอนนี้ทุกคนคงรออาจารย์อยู่  วันนี้ รพ.คงจะได้ทางออกบ้าง และทุกคนคงหายเหนื่อยแน่ๆครับ 

            ผมไม่รู้จะตอบเขาอย่างไรอีก  ผมเชื่อมั่นว่า เขาคงไม่ได้ถูกสอนให้พูดอย่างนี้  แต่ที่แน่ๆผมถูก เพิ่มพลังอำนาจ (empower) เข้าอย่างจัง แทนที่จะไป ทำสิ่งนี้ให้กับน้องๆที่ รพ.อย่างที่ตั้งใจ  ผมนึกได้แต่ ่เพียงว่า วันนี้ผมต้องไปหาให้เจอให้ได้ว่า  รพ.นี้ ทำให้ คนของเขา คิดและรู้สึกแบบนี้ ได้อย่างไร
คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 3868เขียนเมื่อ 14 กันยายน 2005 10:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 13:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
การ empowerment มีประโยชน์กับผู้กระทำและผู้ถูกกระทำค่ะ เมื่อไหร่ที่เรา empower ผู้อิ่น แสดงว่าเรามีทัศนคติที่ดีที่คิดไว้ว่าททุกคนสามารถทำได้ และหากเราเป็นผู้ถูกกระทำ (อย่างอาจารย์) เราก็รู้สึกดี จริงมั๊ยคะ?
     ผมเข้าใจถูกไหมครับ empowerment จะไม่สามารถนำมาใส่ให้กันได้โดยตรง แต่สามารถช่วยส่งเสริมให้เกิดขึ้น หรือให้เพิ่มขึ้นได้ แล้ว empowerment จะเป็นเรื่องของตัวบุคคล(เท่านั้น) หรือเป็นเรื่องของกลุ่มครับ

ตรงนี้แหละครับ ประเด็นสำคัญ ที่พวกเราจำนวนหนึ่งมีความเข้าใจว่า การเพิ่มพลังอำนาจ เป็นกระบวนจัดการในลักษณะจัดอบรม สอนข้างเตียง หรือการสอนตามเวลาที่ต้องสอน  ในความคิดเห็นของผม การเพิ่มพลังอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของบุคคล หรือกลุ่ม แม้แต่ ระดับชุมชน ประชาคม ต้องมีความชัดเจนในด้านความเชื่อมั่นในกลุ่มเป้าหมาย มีความจริงใจ  อยู่บนพื้นฐานเนื้อแท้ของตัวผู้ปฏิบัติเป็นหัวใจสำคัญ ถ้าเราเชืึ่อมั่นในเขาว่า เขาจะกระทำได้หรือจะพยายาม  ประกอบกับเรามีความมุ่งมั่นว่าสิ่งที่กำลังจะกระทำ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนบุคคลให้เกิดความเชื่อมั่น ในศักยภาพของเขา  เราจะพยายามด้วยความจริงใจ  ทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ในสภาวะที่เป็นผู้ได้ด้วยกันทั้งคู่  จึงแตกต่างกับการกระจายอำนาจ ซึ่งมักจะมีฝ่ายหนึ่งสูญเสียอะไรบางอย่างในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง
จะได้รับ และการได้รับนั้นอาจเป็น โอกาสและอุปสรรค ยินดีหรือไม่ยินดี  ต้องการหรือไม่ต้องการ ก็ได้ครับ

ผู้รู้หลายท่านให้คำจำกัดความการเพิ่มพลังอำนาจว่า เป็น

กระบวนการที่ทำให้บุคคล รับรู้ว่า เขามีความสามารถมากน้อยเพียงใด ในการควบคุม  สถานการณ์ ที่เกี่ยวกับตนเอง และสิ่งแวดล้อม เพิ่มพูนทักษะ จนเกิด  วามรู้สึกคุณค่า เชื่อมั่น   กล้าตัดสินใจ   และ ดำเนินการได้ด้วยตนเอง
 
ดังนั้น
การให้ความรู้แก่บุคคลจึงไม่เพียงพอ  ต้องสามารถสนับสนุนให้เขาเกิดความเชื่อมั่นและมั่นใจว่าจะ
สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้
 

สืบค้นข้อมูลเรื่องการเพิ่มพลังอำนาจ  เพราะมีความสนใจในการทำดุษฎีนิพนธ์เกี่ยวกับ  empowerment  ด้านการศึกษา  เจอเวบไซต์นี้เลยเข้ามาทักทาย    ดีใจที่มีคนมีคนพูดคุยกันเรื่อง  การเพิ่มพลังอำนาจมากขึ้น  

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท