การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการพัฒนาทักษะการร้องเพลงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาโดยใช้นักเรียนเป็นเครื่องมือ
เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการหาข้อเท็จจริง ซึ่งใช้นักเรียนโรงเรียนขนาดกลางเป็นผู้แสดงการปรับปรุง ความสามารถในการฝึกร้องเพลงโดยเปรียบเทียบระหว่างการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน และไม่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน และศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการรับรู้ที่ได้จากการเรียนแบบอิสระและไม่อิสระ และหาประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีต่อการสอนการฝึกร้องเพลงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่เรียนดนตรี จำนวน 120 โรงเรียน แบ่งประชากรออกเป็น 4 กลุ่ม โดยดูจากคะแนนการสอบ และสุ่มมา 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งทดลองเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และกลุ่มอื่นๆ เรียนโดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
กลุ่มทดลองที่ฝึกร้องเพลงด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะเรียนครึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ด้วยกัน รวมทั้งสิ้น 4 ชั่วโมง
การฝึกร้องเพลงเป็นเครื่องทดสอบการพัฒนาเครื่องดนตรีของนักวิจัย การวัดนี้ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผลจากการทดสอบพบว่าคะแนนจากการการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการฝึกร้องเพลงได้รับการปรับปรุง แต่ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มทดลองจะได้รับการปรับปรุงมากกว่ากลุ่มที่ถูกควบคุม การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการเรียนแบบอิสระดีกว่าการเรียนแบบถูกควบคุม
ซึ่งผลการจากการค้นคว้างานวิจัยต่างประเทศ ทำให้ได้รับแนวคิดว่าการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนดีกว่าการเรียนในชั้นเรียนปกติ และต้องออกแบบบทเรียนให้มีความน่าสนใจ หลากหลาย เนื้อหาต้องกระชับเข้าใจง่าย และสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
The effectiveness of computer-assisted instruction on the development of rhythm reading skills among middle school instrumental students.by Smith, Kenneth Harold, Ph.D., University of Illinois at Urbana-Champaign, 2002
นายสุรัตน์ พูลเขตร์กิจ 48071798
ขอบคุณครับ เข้ามาอ่าน มาหาความรู้ก็ได้ความรู้จริงๆครับ