หากเราเชื่อว่า "ชีวิตใครก็ชีวิตของคนนั้น" ใครจะรู้ปัญหาและเข้าใจชีวิตดีเท่ากับตัวของตัวเอง และคนที่รู้ปัญหาดีก็ควรเป็นผู้แก้ปัญหานั้นๆ ไม่ใช่ให้คนอื่นไปแก้ไขให้
แต่สำหรับผู้เรียนที่ยังด้อยวุฒิภาวะ ก็คงต้องมีครูคอยช่วยเหลือ และการช่วยเหลือของครูถ้าจะทำอย่างมืออาชีพ ก็คงไม่ไปช่วยประคบประหงมจนทำให้เขาเป็นเด็กที่เลี้ยงไม่โต แต่ต้องรู้อาการของโรค รู้สาเหตุของปัญหา ถ้าเป็นหมอเขาก็จะหาวิธีรักษาตามอาการ ตามสาเหตุ แต่ถ้าเป็นครูก็คงไม่ทำการรักษาเพียงร่างกายภายนอกเท่านั้น แต่ต้องดูแลรักษาลงไปถึงจิตใจด้วย ครูจึงจำเป็นต้องรู้หลักจิตวิทยา หลักการศึกษา เพื่อรู้วิธีเข้าไปดูแลช่วยเหลือให้ครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจของผู้เรียนแต่ละคน
ตัวอย่างเช่น การจะเข้าไปดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ(ตามมาตรฐานที่ 5) ก็คงไม่ใช้การดูแลแบบปูพรม แต่ควรหาวิธีกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความตระหนักในปัญหานี้ด้วยตนเอง โดยอาจใช้เทคนิคการทำค่านิยมให้กระจ่าง(Value Clarification :VC) ให้นักเรียนเกิดการยอมรับตระหนักในปัญหาด้วยตนเองเป็นรายคน ฝึกเขาให้มีการวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุของปัญหาที่ทำให้ตนเองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ เช่น สาเหตุที่ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยภาพรวมต่ำอาจมาจากการอ่อนวิชาคณิตศาสตร์ ตนเองไม่ทำการบ้าน ไม่ทบทวนบทเรียนหลังเลิกเรียน ฯลฯ และเมื่อรู้สาเหตุแล้วก็กระตุ้นให้นักเรียนแต่ละคนคิดวางแผนแก้ปัญหาด้วยตนเอง (ตามแนวคิด Behavier Modification :BM หรือการปรับพฤติกรรม) หากมีสาเหตุของปัญหาใดที่ครูช่วยได้ เช่นเด็กอ่อนคณิตศาสตร์ครูก็อาจช่วยโดยจัดกลุ่มสอนพิเศษให้ เป็นต้น โดยให้นักเรียนแต่ละคนมีแผนพัฒนาแต่ละสาเหตุของปัญหาด้วยตนเอง แล้วครูคอยติดตาม เสริมแรงนักเรียนเป็นระยะๆ จนนักเรียนสามารถพัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาเป็นรายคน ก็น่าจะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทั้งห้อง ทั้งโรงเรียนดีขึ้นตามไปด้วย เรียกว่าการ X-rays เป็นรายคนนั่นเอง ซึ่งถ้าใช้กระบวนการนี้ครูไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องลงมือทำเองทั้งหมด แต่จะคอยเป็นโค้ช เป็นพี่เลี้ยง คอยติดตามให้กำลังใจนักเรียนอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
เห็นหรือยังว่าชีวิตใครก็ชีวิตมันจริงๆ แต่การที่ครูคอยช่วยเหลือและหาทางออกที่สร้างสรรค์ให้แก่เขา จะทำให้เขาเกิดพลังในการดูแลชีวิตเขาด้วยตัวเขาเอง แล้วเขาก็จะภาคภูมิใจในผลสำเร็จของเขา และจะทำให้เขาได้เพิ่มทักษะในการดำรงชีวิตมากขึ้น และเข้มแข็งมากขึ้นด้วย
จากการทำงานของผมกับชุมชนพบอย่างหนึ่งว่า "คนหนึ่งคน มีอะไรมากกว่าที่เราเห็น" จริงๆ ฉะนั้น การที่จะเข้าใจโลกของคนคนหนึ่ง ต้องใช้เวลาศึกษา และใช้ใจที่เป็นกลางไม่ Bias
สิ่งที่เขาเป็น ที่แสดงให้เห็นเป็นเพียงภูเขาน้ำแข็งส่วนยอด มีอีกมากมายที่ต้องศึกษา เรียนรู้เขา ก็คือ ฐานของภูเขาน้ำแข็งเหล่านั้น
คุณครูที่คลุกคลีกับเด็ก ต้องใจกว้าง ใจเป็นกลาง มีเมตตา มีจิตวิทยาในการดูแลเด็กนักเรียน
เด็กที่มีปัญหา ....ไม่น่ารัก ในสายตาของคนอื่น ....เด็กคนนั้นน่าสงสาร และ ควรอย่างยิ่งที่ครูจะต้องเข้าไปศึกษาชีวิตเด็กคนนั้นจริงจัง เพื่อหาสาเหตุ
ในความเป็นจริงที่เห็น ผมเห็นคุณครูหลายๆท่าน ก็ไม่ชอบเด็กไม่น่ารัก(เพราะเขาทำตัวไม่น่ารัก) ผลักเด็กเหล่านี้ออกไปเรื่อยๆ นอกกลุ่ม เป็นเด็กชายขอบในที่สุด ...แล้วเด็กก็เลวสมใจ
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากครับ สำหรับชีวิตเด็ก ๑ คน ...ผู้ที่จะเป็นครู ผมว่าต้องมีใจที่ละเอียด และให้ความสำคัญกับจิตวิทยาเด็กด้วย
ไม่ทราบว่าผม ให้ข้อเสนอแนะตรงประเด็นมั้ย แต่ตรงนี้ผมมองว่าเป็น "สิทธิเด็ก" ที่ถูกเพิกเฉย ปัญหาเหล่านี้บ่มไว้เกือบทุกโรงเรียนในประเทศไทย.....ผมเชื่ออย่างนี้
ผมขอสิทธิ์ให้กับเด็กไม่น่ารักเหล่านี้....ครับอาจารย์
เรียนท่านอาจารย์
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้หาโอกาสเพื่อที่จะเป็นครูกับเขา เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่แปลกเท่าไหร่นักที่ความคิดของผมจะเป็นไปในทางที่เ้พ้อฝัน
อาจารย์คงได้ยินข้อความที่ว่า "ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน" ผมมองว่าการที่เด็กปัจจุบันนี้อย่างที่เราเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์หรือในข่าวโทรทัศน์ เพราะว่า เด็ก ๆ เหล่านั้นมีความอย่างที่ดีหรือที่เหมาะสมน้อยในโลกของเขา///// ธรรมชาติมีสมดุล แต่สังคมเริ่มที่จะขาดสมดุลระหว่างสิ่งที่เรียกว่า "ดี" กับ"เลว" หรือถ้าไม่แน่ใจอาจจะเรียกว่า "ไม่เหมาะสม" และเมื่อ ผู้เรียนที่ยังด้อยวุฒิภาวะ ตามที่อาจารย์กล่าวนั้น นั่นก็หมายความว่า เขาจะเลือกหรือปฏิบัติตามในสิ่งที่เขาเห็น และคนที่เขาจะเลือกที่จะทำตาม คือ คนที่บอกเขาว่า เขาควรทำอย่างไร คน ๆ นั้นก็คือ ครูของเขาที่โรงเรียน ผู้ใหญ่ของเขาที่บ้าน หรือแม้กระทั้งพ่อแม้ของเขาเอง
//////////////เขาจะปฏิบัติตามได้อย่างไร หากเกิดความขัดแย้งในข้อมมูลที่เรากำลังสือสารให้เขา หรือผู้เรียน เรากำลังบอกกล่าวถึงเรื่องราวของสิ่งดี ๆ ที่ผู้เรียนควรปฏิบัติ ความถูกต้อง ความเหมาะสม แต่.....ก็จะเกิดคำถามหนึ่งขึ้นในใจของผู้เรียนว่า มีผู้ใหญ่หลายคนไม่ได้เรียน ต้องไม่รู้แน่ ๆ ถึ่งปฏิบัติกันผิด ๆ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ผู้ที่เป็นครูของเขาหลายคนหรือส่วนใหญ่(ก็มีส่วนดีบ้าง แต่ผมมองว่าเป็นส่วนน้อย) ได้เรียน และรู้ แต่ทำไมไม่ปฏิบัติ มันยากหรือ ??? มันไม่ถูกหรือ???
///////////////////ในขณะที่ด้านเสื่อมกลับมีให้เห็นกับเกลื่อน ค่านิยมที่ผิด ๆ หรือไม่เหมาะสม กลับมีให้เห็น หากครุผู้สอนไม่สามารถที่จะเลือก หรือชี้แจงได้ว่าอะไรคืออะไร เราคงไม่สามารถที่จะให้ผู้เรียนของเรา เลือกที่จะรับได้เองหรอก และที่สำคัญผุ้สอนต้องสามารถที่จะปฏิบัติตาม ปฏิบัติได้ในสิ่งที่สอนด้วย
หากจะมองสังคมของสงฆ์ หากมุ่งเพื่อละกิเลสแล้ว พระสงฆ์ก็ยังเป็นสังคมที่น่านับถือ ไม่เคยได้ยินใครกล่าวว่า พระสงฆ์ล้าหลัง พระสงฆ์ไม่ทันสมัย พระสงฆ์กล่าวถ้อยคำเชย ๆ หากสิ่งที่พระสงฆ์ปฏิบัตินั่น ถือว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ความเชื่อมั่น ครัทธา เป็นเกราะป้องกันใจ
หากแต่ว่า สังคมปัจจุบันฉาบฉวย คนไม่มีหลัก ไม่มีเกราะป้องกันใจตัวเอง ไม่สติช่วยเตือนตัวเอง
สิ่งที่ผมอยากจะบอกผ่านก็คือ
ให้ความสำคัญกับมาตรฐานที่เรียกว่าไอคิวน้อยลง และเพิ่มความสำคัญของคำว่า" ศิลธรรมจริยธรรม"ให้มากขึ้น เราอาจจะตามโลกได้หน่อย แต่โลกล้าหลังมันก็ทำให้เรามีความสุข มิใช่หรือ?????