คัมภีร์อัลกุรอาน : ปัญหาการก่อการร้ายในภาคใต้และโลก อ. อับดุลสุโก ดินอะ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีกรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน ปัจจุบัน มีการพูดและแสดงความคิดเห็นกันมากเกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอานเป็นต้นเหตุแห่ง ความรุนแรงที่นำไปสู่ ปัญหาการก่อการร้ายในภาคใต้และโลก เพราะมีมุสลิมหลายกลุ่มนำคำสอนในคัมภีร์ไปตีความอย่างผิดๆหรือใช้เพื่อบิดเบือนเพื่อเป้าหมายของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้รู้ที่จะต้องชี้แจงเพื่อความกระจ่าง และขจัดความสับสนของสังคม คัมภีร์อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมวจนะของอัลลอฮ์ ที่ทรงมีต่อมนุษย์โดยผ่านศาสดามุฮัมมัด ทั้งนี้โดยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติ คัมภีร์นี้มิใช่คัมภีร์ที่มีไว้เพื่อสักการะบูชาและมิใช่เป็นคัมภีร์ที่มีวัตถุประสงค์ทางไสยศาสตร์ หากแต่เป็นคัมภีร์เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตในทุกๆด้านและมิติทีเกี่ยวข้องกับมนุษย์ สำหรับมุสลิมแล้วบทบัญญัติที่มีอยู่ในคัมภีร์ คือ บทบัญญัติที่ทุกคนต้องปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ทุกคนต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพื่อที่จะนำมาใช้อย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์ของอัลกุรอาน คัมภีร์อัลกุรอานแบ่งออกเป็นบททั้งหมด 114 บท แต่ละบทเรียกว่าซูเราะห์ซึ่งมีความยาวไม่เท่ากันโดยจำนวนวรรคมากบ้างน้อย บ้างต่างกัน แต่ละวรรคเรียกว่าอายะห์ โดยมีทั้งหมด 6666 วรรคถึงแม้คัมภีร์อัลกุอานจะแบ่งเป็นบทเป็นวรรค แต่ละบทของอัลกุอานจะต่างกับหนังสือทั่วไปที่แบ่งแยกหัวข้อเรื่องต่างๆไว้ ตามลำดับ ในทางกลับกันแต่ละบทของคัมภีร์อัลกุรอานจะมีเรื่องต่างๆปะปนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักศรัทธา ศีลธรรม กฎหมาย ประวัติศาสตร์ ในบางแห่งเรื่องเดียวกันจะถูกนำมากล่าวทวนในลักษณะต่างๆกัน และเรื่องหนึ่งจะตามอีกเรื่องหนึ่งโดยไม่มีการเกี่ยวเนื่องกันให้เห็นได้ชัด ในขณะที่มีการนำเสนอเรื่องหนึ่งอยู่บางครั้งมีการนำเสนออีกเรื่องหนึ่งในบท หรือตอนเดียวกัน โดยไม่มีเครื่องหมายหรือการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า การนำเสนอประวัติศาสตร์ในคัมภีร์อัลกรุอานต่างกับหนังสือประวัติศาสตร์ทั่ว ไป การกล่าวถึงวิทยาศาสตร์ในอัลกรุอานจะใช้สำนวนต่างจากภาษาทางวิทยาศาสตร์ ในทำนองเดียวกันคัมภีร์อัลกรุอานก็จะมีวิธีของตัวเองในการแก้ปัญหาทาง วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจและสังคม และที่สำคัญคัมภีร์อัลกรุอานมิใช่คัมภีร์ว่าด้วยศาสนา ในความเข้าใจของคนทั่วไป ด้วยเหตุนี้ทำให้ ผู้เริ่มศึกษาอัลกุรอานหรืออ่านคำแปลอัลกรุอาน อาจทำให้รู้สึกงงและไม่เข้าใจ ได้ ศ.ด.ร.อับดุลลอฮ. บิน อับดุลมุห์ซิน อัตตุรกีย์ รมว. ศาสนสมบัติของซาอุดิอารเบีย ผู้จัดทำโครงการแปลอัลกุรอานเป็นภาษาต่างๆทั่วโลกร่วมถึงประเทศไทย กล่าวว่า "ข้าพเจ้าทราบดีว่า การแปลความหมายอัลกุรอานนั้น แม้จะใช้ความละเอียดถี่ถ้วนอย่างไร ก็ยังไม่สามารถสื่อถึงความหมายอันยิ่งใหญ่ของตัวบท ที่มีความมหัศจรรย์ได้ความหมายต่างๆที่แปลออกมาจึงเป็นเพียงผลของความรู้และ ความเข้าใจ ของผู้แปลที่มีต่ออัลกรุอานแน่นอนย่อมมีความผิดพลาด และขาดตกบกพร่องได้เหมือนงานอื่นๆของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป" การจะเข้าใจความหมายอัลกุรอานได้นั้นผู้รู้จะต้องเข้าใจมูลเหตุหรือภูมิหลังแห่งการประทานโองการต่างๆในคัมภีร์อัลกุรอานด้วย ผู้อ่านคัมภีร์อัลกุรอานจะไม่สามารถเข้าใจความหมายเรื่องราวและบทบัญญัติที่ แท้จริงและถูกต้องหากผู้อ่านขาดความรู้เกี่ยวมูลเหตุหรือภูมิหลังของการ ประทานคัมภีร์ ซึ่งศัพท์ทางวิชาการศาสนาเรียกว่า "อัซบาบุนนุซูล" ทั้งนี้เพราะคัมภีร์อัลกุรอานมิได้ถูกประทานลงมาเป็นเล่มอย่างสมบูรณ์ในที่ เดียวเวลาเดียว แต่ถูกประทานมาแต่ละโองการล้วนแล้วแต่มีสาเหตุและความเหมาะสม ท่านอีหม่ามอัลวาฮิดีย์ปราชญ์ด้านวิชาการการอธิบายอัลกุรอานกล่าวว่า "ไม่เป็นที่อนุญาตให้อธิบายอัลกุรอาน สำหรับผู้ที่ไม่ทราบมูลเหตุแห่งการประทานอัลกุรอาน" เช่นมีโองการหนึ่งอัลลอฮ์ ได้ดำรัสความว่า "ทั้ง ทิศตะวันออกและตะวันตกนั้นเป็นสิทธิแห่งอัลลอฮ์ดังนั้นไม่ว่าท่านทั้งหลายจะ ผินหน้าไปทางทิศไหนท่านก็จะพบกับพระพักตร์แห่งอัลลอฮ์" ตามความหมายของโองการนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ละหมาดไม่จำเป็นต้องผินหน้าไปทาง บัยตุลลอฮ เมืองมักกะฮ์ประเทศซาอุดิอารเบีย แต่เมื่อพิจารณาถึงมูลเหตุและภูมิหลังของการประทานโองการนี้จะพบว่ามี ชนกลุ่มหนึ่งไม่รู้แน่ชัดว่าทางไหนหรือทิศไหนคือตำแหน่งบัยตุลลอฮ์ ดังนั้นต่างคนต่างหันไปยังทิศที่ต่างได้วินิจฉัยด้วยสติปัญญาว่าน่าจะเป็น ตำแหน่งของบัยตุลลอฮ เพราะช่วงเวลานั้นเป็นเวลากลางคืนท้องฟ้ามืดมิดและไม่มีเข็มทิศด้วยในสมัย นั้น พอรุ่งเช้าก็เป็นที่แน่ชัดว่าบางคนนั้นวินิฉัยผิด ซึ่งในโองการนี้อัลลอฮ์ได้แจ้งแก่ศาสดามูฮัมมัดให้ทราบว่าอัลลอฮ์ทรงผ่อนปรนในการหันไปทางบัยตุลลอฮ เมื่อมีเหตุการณ์ความจำเป็น นี่เป็นเพียงหนื่งตัวอย่างจากอัลกุรอานทั้งเล่มว่าการเข้าใจและสามารถอธิบายอัลกุรอานซึ่งเป็นภาษาอาหรับ ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ข้อแตกต่างระหว่างหนังสือศาสนาและวิชาการหรือบทความเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม จากเหตุผลที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าใจอัลกรุอานอย่างครบถ้วนสมบูรณ์และถูก ต้อง ในขณะที่อัลกรุอานเป็นบทบัญญัติที่มุสลิมทุกคนจะ ต้องนำมาปฏิบัติ จึงเป็นหน้าที่ของปราชญ์มุสลิมสาขาต่างๆ จะต้องแต่งตำราโดยดึงโองการบางโองการที่มีความเกี่ยวข้องมาเป็นหลักฐาน ดังนั้น เราจะพบตำราทางวิชาการหรือบทความซึ่ง เขียนโดยผู้รู้มากมายจะมีหลักฐานอัลกรุอานประกอบเพื่อความหนักแน่น ส่วนความถูกต้องหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพทางวิชาการของผู้รู้แต่ละท่าน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ไม่มีความเห็น