วันนี้ (๑๒ กค. ๔๙) ผมไปร่วมประชุม กลุ่มสามพราน เรื่อง ระบบสุขภาพชุมชน ได้รับแจกหนังสือ "การพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน : สุขภาวะชุมชนเป็นรากฐานของสุขภาวะทั้งมวล" โดย ศ. นพ. ประเวศ วะสี จึงขอคัดลอกเรื่อง การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ มาฝาก
ท่านได้กล่าวว่าระบบสุขภาพมีองค์ประกอบ ๑๐ ประการ โดยองค์ประกอบที่ ๑ คือ
การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
และให้คำอธิบายว่า
นี้คือหัวใจของสุขภาวะ ถ้าคนเรารู้สึกมีคุณค่าและศักดิ์ศรี มีศักยภาพ
มีอิสรภาพ
และมีการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
จะมีความสุขซึมซ่านอยู่ในคนทุกคน และทั่วไปในสังคม
การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันคือศีลธรรมพื้นฐานของสังคม
เป็นรากฐานของประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค
ความเป็นธรรมทางสังคมการพัฒนาต่างๆ
ต้องอยู่บนฐานและนำไปสู่การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
หรืออีกนัยหนึ่งต้องเอาการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันเป็นตัวตั้ง
ถ้าเอาอย่างอื่นเป็นตัวตั้ง จะกดความเป็นคนลง เช่น
เอาเงินเป็นตัวตั้งบ้าง
เอาความรู้เป็นตัวตั้งบ้าง
เอาอำนาจรัฐเป็นตัวตั้งบ้าง
เอายศถาบรรดาศักดิ์เป็นตัวตั้งบ้าง
หรือแม้แต่เอาพระเจ้าเป็นตัวตั้ง
เรื่องการเอาศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนเป็นตัวตั้ง
ดูเหมือนเป็นเรื่องยากและเป็นนามธรรม แต่จริงๆ
แล้วเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา ถ้าจับหลักได้จะเสมือนพลิกแผ่นดิน
กุญแจอยู่ที่การเคารพความรู้ในตัวคน
อาจแบ่งความรู้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
หนึ่ง ความรู้ในตัวคน
สอง
ความรู้ในตำรา
ความรู้ทั้ง ๒ ประเภทมีความสำคัญ
แต่ความรู้แต่ละประเภทมีที่มาหรือราก และความหมายต่างกัน
ความรู้ในตัวคนนั้นทุกคนมี ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
เพราะได้มาจากประสบการณ์ชีวิตและการทำงาน
ทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตและการทำงานจึงมีความรู้
บางสิ่งบางอย่างหรือหลายอย่างอยู่ในตัว
ความรู้ในตัวคนได้มาจากวิถีชีวิตจึงมีฐานอยู่ในวัฒนธรรม
วัฒนธรรมคือวิถีชีวิตร่วมกันของกลุ่มชน
ความรู้ในตำรานั้น ได้มาจากหรือแปลมาจากต่างประเทศบ้าง
ได้มาจากการศึกษาวิจัยบ้าง
อาจเรียกว่าความรู้ในตำรามีฐานอยู่ในวิทยาศาสตร์
คนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีความรู้เชี่ยวชาญในตำรา
ถ้าเอาความรู้ในตำราเป็นตัวตั้ง คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีเกียรติ
คนส่วนใหญ่จะไม่มีเกียรติและถูกทำให้รู้สึกด้อยไม่มั่นใจในตัวเอง
และเนื่องจากความรู้ในตำราอาจเป็นความรู้ต่างถิ่น
ไม่มีฐานอยู่ในวัฒนธรรม
จึงอาจทำให้เกิดการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับฐานทางวัฒนธรรม
หรือตัดขาดจากฐานทางวัฒนธรรม
ถ้าเอาความรู้ในตัวคนเป็นตัวตั้ง คนทุกคนจะเป็นคนมีเกียรติ
ฐานของการเรียนรู้จะกว้างใหญ่ไพศาลและสอดคล้องกับวัฒนธรรม ทำได้จริง
ปฏิบัติได้จริง
การเรียนรู้ควรจะเอาความรู้ในตัวคนเป็นตัวตั้ง
และเอาความรู้ในตำราเป็นตัวตกแต่งหรือต่อยอด หรืออีกนัยหนึ่ง
เอาวัฒนธรรมเป็นฐาน เอาวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ
แต่การศึกษาของเราเอาวิชาหรือความรู้ในตำราเป็นตัวตั้ง
และตัดความรู้ในตัวคนออกไป รูปธรรมที่เห็นชัดที่สุดคือ
เด็กนักเรียนไม่อยากคุยกับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เพราะคุยแล้วไม่ได้คะแนน
คะแนนไปอยู่ที่การท่องวิชา นี่คือการศึกษาที่ตัดรากทางวัฒนธรรม
ต้นไม้ต้องมีราก ฉันใด สังคมก็ฉันนั้น
รากของสังคมคือวัฒนธรรม
ถ้าตัดรากต้นไม้แล้วเกิดอะไรขึ้น
การพัฒนาที่ตัดรากวัฒนธรรมก็มีผลอย่างเดียวกัน
วิกฤตการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ของไทย
เกิดขึ้นเพราะการพัฒนาที่ตัดรากทางวัฒนธรรม
เพื่อให้เห็นว่าการพลิกกลับไม่ได้ยากอย่างที่คิด จะขอยกตัวอย่างให้ดูสัก ๒ ตัวอย่าง
ตัวอย่างที่ ๑
โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์และโรงเรียนวัดพนัญเชิงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้นักเรียนเรียนจากชาวบ้าน
เช่น คนขายก๋วยเตี๋ยว คนขายของชำ ช่างเสริมสวย ช่างผสมปูน
คนเหล่านั้นซึ่งไม่เคยมีเกียรติเลยในสังคมไทย
รู้สึกมีเกียรติขึ้นทันทีว่าเราก็เป็นครูได้ และเขาสอนได้จริงๆ
เพราะเขาทำมากับมือ เขามีความรู้อยู่ในตัว
ครูเสียอีกที่ไม่มีความรู้ในการขายก๋วยเตี๋ยว ในการขายของชำ
ในการเสริมสวย ในการผสมปูน เมื่อนักเรียนเรียนจากใคร
เขาก็เคารพว่าคนนั้นเป็นครู
นี่คือการศึกษาที่ทำให้เกิดการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
โดยเฉพาะของคนเล็กคนน้อย คนยากคนจน
เป็นการสร้างศีลธรรมพื้นฐานของสังคม
ตัวอย่างที่ ๒ อาจารย์ประภาภัทร นิยม
และคณะจากโรงเรียนรุ่งอรุณไปทำวิจัยที่เกาะลันตาใหญ่ ที่จังหวัดกระบี่
โดยทำแผนที่ศักยภาพมนุษย์ (Human Mapping)
ของคนทุกคน โดยถือว่าคนทุกคนมีความรู้ความถนัดอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีการไปรับฟังให้ชาวบ้านแต่ละคนเล่าว่าตัวเขาเองชอบทำอะไรและทำอย่างไร
ปรากฏว่าเกิดพลังขึ้นอย่างมโหฬารแบบที่ฝรั่งอุทานว่า Enormous energy!
คือชาวบ้านรู้สึกมีความสุขความภูมิใจในตัวเองที่มีคนมาฟังเรื่องของเขา
เราฟังใครคือการที่เราเคารพคนนั้น
ชาวบ้านรู้สึกว่าได้รับความเคารพซึ่งไม่เคยได้รับมาก่อนเลย
จึงมีความรู้สึกที่ดีมาก
มีความภูมิใจว่าสิ่งที่ตนชอบตนถนัดนั้นมีคุณค่า
ก่อให้เกิดความมั่นใจในตัวเอง
และการปลดปล่อยไปสู่ความเป็นอิสระเสรีจากความบีบคั้นที่ถูกทำให้ไร้เกียรติ
ไร้ศักดิ์ศรี ไร้ความหมาย จึงเกิดความสุขและพลังสร้างสรรค์อย่างมโหฬาร
ผู้ไปทำวิจัยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง (Transformation)
เพราะเปลี่ยนแปลงมุมมองเกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ใหม่ ออกจากทรรศนะที่ผิด
บรรลุความจริง ทำให้เกิดความเป็นอิสระ ความแจ่มแจ้ง ความผ่องใส
ความสุข และมองเห็นทางไปข้างหน้าแจ่มชัด
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ๒ ตัวอย่าง ลองจินตนาการว่า
ถ้าคนทุกคนตระหนักรู้ว่าตัวเอง มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
มีความรู้อยู่ในตัว
มีการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
มีการปฏิรูปการศึกษาที่เอาความรู้ในตัวคนเป็นตัวตั้ง
เอาความรู้ในตำราเป็นตัวประกอบ
มีการทำแผนที่ความรู้ในตัวคนทุกคนในทุกพื้นที่และทุกองค์กร
และนำมาเข้าระบบข้อมูลความรู้ในตัวคนทั้งประเทศ
จะมีการปลดปล่อยผู้คนไปสู่การมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพ
มีความสร้างสรรค์สักเพียงใด
และนี่มิใช่การพลิกแผ่นดินไปสู่ความสุขความสร้างสรรค์ดอกหรือ
ฉะนั้น
จึงจัดเรื่องศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ไว้เป็นศูนย์กลางของระบบสุขภาพ
กระบวนการเคลื่อนไหวเรื่องสุขภาพอย่าลืมเอาเรื่องนี้มาเป็นทั้งเครื่องมือและเป้าหมายของการเคลื่อนไหว
การเห็นคุณค่าความรู้ในตัวคน
ถอดความรู้นั้นออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเพิ่มคุณค่า เรียกว่า
การจัดการความรู้ (Knowledge Management)
ที่สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) อันมี
นายแพทย์วิจารณ์ พานิช เป็นผู้อำนวยการ
กำลังเคลื่อนไหวอยู่อย่างเข้มข้นนั่นแหละครับ
ท่านที่สนใจหนังสือทั้งเล่มโปรดดูที่ www.prawase.com
วิจารณ์ พานิช
๑๒ กค. ๔๙