เกือบร้อยละ 100 ผู้ป่วยศัลยกรรมมักจะเกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดเสมอ ดังเช่น ผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องจากไส้ติ่งอักเสบ หลังผ่าตัดไส้ติ่งออกก็ปวดอีกแต่เป็นอาการปวดแผลผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุขาหักก็มักจะมีอาการเจ็บปวดจากการบาดเจ็บดังกล่าว บทบาทของพยาบาลจึงมักเกี่ยวข้องกับการบรรเทาอาการปวดของผู้ป่วย
วิธีการบรรเทาปวดมีหลากหลายวิธี ถ้าเกี่ยวกับการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันก็มักจะให้ยาฉีดหรือยารับประทานแก้ปวด แต่ในครั้งนี้ดิฉันจะเล่าเรื่องการแพทย์ทางเลือกค่ะ
ในช่วงทศวรรษนี้ไม่มีอะไรมาแรงไปกว่าการแพทย์ทางเลือกอีกแล้ว แพทย์แผนปัจจุบันหลาย ๆ ท่านเริ่มนำการแพทย์ทางเลือกมาผสมผสานกันเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีทางเลือกเป็นของตนเองด้วย
การบรรเทาปวดในการแพทย์ทางเลือกที่ท่านเคยได้ยินหรือทราบมามีอะไรบ้าง ท่านตอบได้มั๊ยคะ ...
ท่านอาจจะตอบว่าไม่น่าถามเล้ย...เรื่องชิลด์ ชิลด์ ใคร ๆ ก็รู้มีทั้งการทำสมาธิ การใช้ดนตรีบำบัด การนวดเพื่อผ่อนคลายบรรเทาปวด
คำตอบคือ..ถูกต้องแล้วคร้าบ...แต่ท่านรู้หรือเปล่าว่า...
แสงแดดนอกจากเป็นปัจจัยในการสร้างเสริมวิตามินดีและช่วยให้กระดูกแข็งแรงแล้วแสงแดดยังมีประโยช์อีกด้านที่คุณอาจคาดไม่ถึง
"แสงแดด...ช่วยลดปวดได้.".
"...ล้อเล่นน่า..จะเป็นไปได้อย่างไร" ท่านอาจจะคิดว่าดิฉันล้อเล่น
แต่..มันเป็นไปแล้ว
คณะนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก สหรัฐอเมริกา ได้เสนอคุณประโยชน์ของแสงแดด โดยเก็บข้อมูลจากอาสาสมัคร 89 คนที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดกระดูกสันหลัง ซึ่งถ้าคุณเคยผ่าตัดกระดูกสันหลังมาก่อนคุณจะรู้ว่ามันเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด
ในการศึกษานั้น ได้แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้พักฟื้นในห้องที่ค่อนข้างทึบแสง ส่วนกลุ่มหลังพักในห้องที่มีแสงแดดส่องถึง ผลจากการวิจัยพบว่า อาสาสมัครในกลุ่มแรกต้องการปริมาณยาลดปวดอย่างมอร์ฟีนต่อชั่วโมงในปริมาณที่มากกว่ากลุ่มที่อยู่ในห้องที่มีแสงแดดส่องถึงร้อยละ 28
โอ้ว..พระเจ้าช่วย...กล้วยทอด นี่แสดงว่าแสงแดดมีผลช่วยให้ร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยเข้มแข็งทนต่ออาการปวดได้ ช่วยลดปริมาณยาลดปวด ทำให้ประหยัดค่ายา และผู้ป่วยเองก็ไม่ต้องเสี่ยงต่อผลข้างเคียงของยาลดปวดด้วย
<p>ผู้วิจัยอธิบายว่าปริมาณแสงแดดที่เหมาะสมช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงได้ ในทางกลับกันหากได้รับน้อยเกินไป เช่นในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น จะทำให้รู้สึกซึมเซา อ่อนเพลีย ขาดสมาธิ (มิน่าล่ะหน้าหนาวทีไรดิฉันง่วงเหงา หาวนอน คิดถึงแต่ที่นอนอยู่ร่ำไป) หดหู่ ไปจนถึงอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นอาการของโรค SAD ( Seasonal Affective Disorder) โปรดสังเกตผู้ที่มีอาการบ้า มักจะมีอาการบ้ามากขึ้นในหน้าหนาว</p><p>ได้อ่านบทความนี้แล้วเห็นทีดิฉันต้องนำไปเล่าใน PCT ศัลยกรรม เพื่อต่อยอดซะแล้ว เผื่อว่าได้นำไปใช้พัฒนาคุณภาพในตึกศัลยกรรม 5/4 บ้าง เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดทุกข์ทรทานของผู้ป่วยซึ่งเป็นบทบาทที่พยาบาลไม่ควรมองข้าม </p>
น่าสนใจดีค่ะ