ในวันนี้ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุม กฎกระทรวง 2553 เรื่อง ระบบและกลไกการประกันคุณภาพภายในสู่การประเมินคุณภาพภายนอก โดย ดร.ไพรวัลย์ พิทักษ์สาลี ได้กล่าวถึงกฎกระทรวง 2553 ที่เกี่ยวข้องกับการประกันคุณภาพ ทั้งนี้ระบบการประกันคุณภาพภายในประกอบด้วย การประเมินคุณภาพภายใน, การติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา เพื่อติดตามตรวจสอบความก้าวหน้าของการปฏิบัติตามแผน 4 ปี และ การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
การประเมินคุณภาพภายในจะจัดขึ้น 1 ครั้งทุก 3 ปี เพื่อให้โรงเรียนรับทราบ และเปิดเผยต่อสาธารณชน โดยที่ระบบประกันคุณภาพภายในจะตรวจสอบโดย หน่วยงานต้นสังกัด คือ สพท. จะประเมินตามมาตรฐาน ตามตัวมีตัวบ่งชี้ ซึ่งมาตรฐานต่างๆนั้น จะมีส่วนแรกที่บังคับ ทุกโรงเรียนเหมือนกัน แต่ท่านเสนอแนะว่าควรเพิ่มเรื่องอดทนและอดกลั้นเข้าไปในมาตรฐานด้วยถึงแม้ว่าจะเป็นนามธรรม วัดได้ยาก แต่ควรจะเพิ่มลงไป ตัวอย่างเช่น สมัยนี้พบว่านักเรียนทำข้อสอบไม่ได้ใช้ความสามารถจริง รีบๆทำให้เสร็จ รีบตอบ 15 นาทีเสร็จก็ออกจากห้องสอบเป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ส่วนที่สอง เป็นมาตรฐานของโรงเรียน ที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียน หรือเอกลักษณ์ของท้องถิ่นในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความมีวินัยและความรับผิดชอบ เพราะส่วนนี้ทุกโรงเรียนต้องมีและต้องทำเหมือนกันหมดแต่จะทำอย่างไรที่บ่งชี้ว่าลักษณะที่มองนักเรียนแล้วรู้เลยว่าเป็นโรงเรียนของเรา เช่น โรงเรียน ก. สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียนคือ มีทักษะการทดลองทางวิทยาศาสตร์ทุกคน หรือนักเรียนโรงเรียนนี้รำไทยเป็นทุกคน เป็นต้น และส่วนที่สามเพื่อสนองนโยบายของชาติ เนื่องจากงานบางงานไม่ได้สนองมาตรฐานของแกนกลาง หรือที่บังคับ และเอกลักษณ์ของโรงเรียน แต่สอดคล้องกับนโยบายระดับชาติก็สามารถนำผลไปใช้ในการเมินคุณภาพได้เช่นกัน ก็สามารถนำผลงานจับใส่มาตรฐานนี้ได้ เพราะถือว่างานทุกชิ้นมีคุณค่าทั้งหมดถ้าทำเพื่อนักเรียน
การติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา จะตรวจสอบจากความก้าวหน้าของการปฏิบัติตามแผน 4 ปีที่ตั้งไว้ เมื่อกล่าวถึงคำว่าก้าวหน้าจะดูอย่างไร จะต้องเทียบเคียงจากข้อมูลเดิม อดีตเป็นอย่างไร หลังจากทำโครงการ/กิจกรรมแล้วนักเรียนเป็นอย่างไร บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยให้มุ่งเป้าหมายการพัฒนาไปที่นักเรียน ทำแล้วเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียน ซึ่งเป้าหมายของโรงเรียนที่กำหนดไว้นั้นจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา 4 ปี ซึ่งโรงเรียนจะต้องสร้างมาตรฐานเอง ดังนั้นการเขียนแผน 4 ปีจะต้องดูจากสารสนเทศที่มีอยู่ ปัญหาย้อนหลัง ที่เกิดขึ้นในอดีต ,นโยบายของผู้บริหาร และผลการประเมินคุณภาพทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะส่วนที่ ส.ม.ศ. เคยชี้แนะให้ปรับพัฒนาโรงเรียน(จุดเน้นในการประเมินภายนอกรอบที่3) และนำไปกำหนดเป้าหมายแต่ละโครงการเช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนทั้งโรงเรียนได้ผลการเรียนระดับ 2-4 จำนวนกี่คน ทางโรงเรียนต้องการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ให้มากขึ้นกว่าเดิม เช่นจากเดิม 60% ก็อาจจะตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ เช่นที่ 65-70% เป็นต้น หรือกำหนดให้ครูในโรงเรียนทุกคนต้องสอนและฝึกให้นักเรียนตอบคำถามว่าทำไม..... ทุกรายวิชาเพื่อฝึกนักเรียนคิดวิเคราะห์เป็นต้น โดยที่แต่ละโครงการ/กิจกรรม สามารถที่จะสะท้อนมาตรฐานได้หลายข้อก็ยิ่งดี และที่สำคัญการทำงานแต่ละขั้นตอนในโครงการ/กิจกรรมควรมีร่องรอย หลักฐาน ( evidence base ) และการสะท้อนถึงกระบวนการทำงานควรจัดทำเป็นตางรางเพื่อติดตามงานหรือโครงการ/กิจกรรม เช่น
วัน/เดือน/ปี |
งาน |
สิ่งที่ดำเนินการ |
อุปสรรค |
ปัญหา |
|
|
|
|
|
เพื่อจะทำให้ทราบว่าระหว่างการดำเนินงานนั้นมีอุปสรรค ปัญหาอะไรบ้าง และใช้ติดตาม ตรวจสอบ เร่งรัดการดำเนินงานได้ ในการประเมินผู้ประเมินจะไม่ดูข้อมูล และสิ่งที่เหมือนกันซ้ำๆ แต่จะดูสารสนเทศของโรงเรียน โครงการ/กิจกรรมที่ทำพัฒนานักเรียนตรงไหน มีความก้าวหน้าตรงไหน จะต้องมีความเคลื่อนไหวให้สามารถตรวจสอบได้
การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ในส่วนนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ เพราะว่าการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาไม่ได้อยู่ใครคนใดคนหนึ่งแต่อยู่ที่เนื้องานของบุคลากรในโรงเรียนทุกคนต้องมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบร่วมกันทุกคน ซึ่งเป็นหัวใจของการประกันคุณภาพถึงจะสามารถพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาได้ โดยเริ่มจากการทำงานแบบ PDCA ของบุคลากรก่อน มีการประเมินตนเองพัฒนางาน เก็บงานอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนงาน ติดตาม ตรวจสอบ ปรับปรุง หากทุกคนมีการประกันคุณภาพภายในแต่ละบุคคลแล้ว การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาจะไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เป็นการเพิ่มภาระงานแต่เป็นงานที่ทำอยู่ปกติอยู่แล้ว แต่ต้องทำให้เป็นปัจจุบัน ซึ่งต้องมีการเก็บข้อมูลที่ใช้ในการทำงานอย่างมีระบบและนำข้อมูลเหล่านี้ไปรวมเป็นสารสนเทศอีกทีเพื่อใช้ในการเขียนโครงการ/กิจกรรม วางแผนดำเนินงานต่อไป ยกตัวอย่างเช่น งานนิเทศฯ การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ของครู จะต้องเก็บจัดทำสำเนาขอครูทุกคน และมีการตรวจสอบการเขียนแผน ในแต่ละภาคเรียน และเมื่อถึงอีกภาคเรียนหนึ่งหรือปีการศึกษาหน้าก็จะต้องมีร่องรอยการเขียนแผนที่แตกต่างไปจากเดิม มีที่แปลกใหม่ ที่คาดว่าน่าจะดีกว่าเดิม เพราะปรับจากที่เคยมีปัญหามาจากภาคเรียนก่อนๆ เป็นต้น สามารถตรวจสอบดูได้ หากยังเหมือนเดิมใช้แผนการจัดการเรียนรู้เดิมตลอดก็จะไม่เกิดการพัฒนาในการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น
ไม่มีโรงเรียนไหนที่มีคุณภาพโดยความบังเอิญ ทุกคนในโรงเรียนจะต้องช่วยกันรับผิดชอบที่ชัดแจ้งร่วมกัน โดยทำงานตามแผนงานที่ตั้งไว้ ตรวจสอบ ติดตาม รายงานผล นำผลไปพัฒนา โดยทำอะไรก็แล้วแต่ให้นึกถึงนักเรียนเป็นอันดับแรก หากจะอบรมครูก็ให้อบรมครูแล้วจะนำไปสู่นักเรียนอย่างไรได้บ้าง หากครูทุกคนร่วมกันทำ ผู้บริหารถือธงคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่แย่แค่ไหนก็สามารถมีคุณภาพได้ หากครูทุกคนช่วยกันทำ ไม่ละเลยหน้าที่ของตนเอง แน่นอนว่าโรงเรียนสามารถพัฒนาไปได้แน่นอนแต่จะมากน้อยเท่าไหร่นั้นก็อยู่ที่หัวใจของบุคลากรในโรงเรียนรวมกันเป็นดวงใหญ่แค่ไหน
ประชุมเรื่อง “กฎกระทรวง 2553 ระบบและกลไกการประกันคุณภาพภายในสู่การประเมินคุณภาพภายนอก”
โดย ดร.ไพรวัลย์ พิทักษ์สาลี
วันที่ 29 กรกฎาคม 2553 ณ ห้องประชุมราชพฤกษ์ สพท.กทม.3
คุณครู
เยี่ยมมากค่ะคำอธิบายชัดมาก เพิ่มการเรียนรู้ให้กับผู้ที่มีความรู้ จิ๋วๆอย่างเช่นดิฉัน
ยินดีครับที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้
วันนี้กลับมาอ่านอีครั้งเพราะทำงานแล้วทำไม่ได้ขอเอาข้อความของคุณส่งให้เพื่อนร่วมงานอ่านได้ไหม
ขออนุญาตก่อน