หลักสูตรผลิตครูระดับปริญญาตรีปัจจุบันต้องดำเนินการตามเกณฑ์มาตรฐาน
2 เกณฑ์ ดังนี้
1.
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง
เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ.
2548 กำหนดจำนวนหน่วยกิต
และระยะเวลาการศึกษา
ดังนี้
1.1
หลักสูตรปริญญาตรี
4 ปี ให้มีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่น้อยกว่า 120
หน่วยกิต ใช้เวลาศึกษาไม่เกิน 8
ปีการศึกษา
1.2 หลักสูตรปริญญาตรี 5
ปี ให้มีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่น้อยกว่า 150
หน่วยกิต ใช้เวลาศึกษาไม่เกิน 10
ปีการศึกษา
2.
หลักเกณฑ์การรับรองปริญญาทางการศึกษา
ตามมาตรฐานของคุรุสภา หลักสูตร 5
ปี
2.1 โครงสร้างหลักสูตร
ประกอบด้วย
2.1.1
หมวดวิชาศึกษาทั่วไป
ไม่น้อยกว่า 30
หน่วยกิต
2.1.2
หมวดวิชาชีพครู
ไม่น้อยกว่า 50
หน่วยกิต
2.1.3
หมวดวิชาเฉพาะด้าน
ไม่น้อยกว่า 64
หน่วยกิต
2.1.4
หมวดวิชาเลือกเสรี
ไม่น้อยกว่า
6 หน่วยกิต
2.2 หน่วยกิตรวมไม่น้อยกว่า 150 หน่วยกิต
ครูพันธุ์แท้
กับครูพันธุ์ผสม
จากอดีตถึงปัจจุบัน
มีหลักสูตรครู 2
รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 ครูพันธุ์แท้ หมายถึง ครูที่เรียนหลักสูตรครูล้วน ๆ โดย หลักสูตรในอดีต คือ ครูพันธุ์เก่า กับหลักสูตรปัจจุบัน คือ ครูพันธุ์ใหม่ มีความแตกต่างกันดังนี้
รายการ | ครูพันธุ์เก่า | ครูพันธุ์ใหม่ |
1. ระยะเวลาเรียน | 4 ปี | 5 ปี |
2. จำนวนหน่วยกิต | ไม่น้อยกว่า 120 หน่วยกิต | ไม่น้อยกว่า 160 หน่วยกิต |
3. ระยะเวลาฝึกประสบการณ์ | 1 ภาคเรียน | 2 ภาคเรียน |
สรุปแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงจากครูพันธุ์เก่า
เป็นครูพันธุ์ใหม่ เพื่อให้เป็นครูเก่ง ครูดี คือ
1. เรียนน้อย 120 หน่วยกิต
(ทำให้ไม่เก่ง) ต้องเรียนเพิ่ม 150 หน่วยกิต
(น่าจะเก่ง)
2. ฝึกน้อย 1 ภาคเรียน (ประสบการณ์ไม่พอ)
ต้องฝึกเพิ่ม 2 ภาคเรียน
(น่าจะพอ)
3.
เรียนเพิ่ม + ฝึกเพิ่ม
จึงต้องเพิ่มเวลาเรียน จาก 4
ปี เป็น 5 ปีหมายเหตุ
เพื่อให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจเป็นครูพันธุ์ใหม่
ที่ต้องเรียนถึง 5 ปี รัฐบาลจึงให้ทุนเรียน (แต่ผู้เรียนได้ทุนเพียง 1
รุ่นก็ถูกตัดไป)
รูปแบบที่
2 ครูพันธุ์ผสม
หมายถึง ครูที่เรียนหลักสูตรอื่นแล้วเรียนหลักสูตรต่อยอดภายหลัง
เช่น ผู้เรียนที่จบปริญญาตรี 4
ปี จากสาขาอื่น อาทิ วท.บ.,
ศศ.บ. แล้ว เรียนต่อ
ป.บัณฑิตทางการสอน อีก 1 ปี
จำนวนไม่น้อยกว่า 24 หน่วยกิต
เรียกว่า หลักสูตร 4+1
(แต่จากข้อกำหนดของคุรุสภาที่ให้ฝึกประสบการณ์ 1
ปี หลักสูตรนี้จึงต้องเป็นอย่างน้อย
1 ½ ปี
)
ครูพันธุ์ผสม (ใช้ความรู้ทางครูต่อยอด)
มีข้อดี
และข้อเสียโดยสรุปดังนี้
ข้อดี
1. ได้ครูที่มีความเก่ง (เชี่ยวชาญ) ในศาสตร์ตรง
(เนื่องจากมีข้อวิจารณ์ว่าหลักสูตรครูขาดความเข้มข้นในศาสตร์ตรง
และเรียนจำนวนหน่วยกิตน้อยกว่า)
2.
เพิ่มทางเลือกของวิชาชีพให้ผู้เรียนจากศาสตร์อื่น
มาเป็นครูด้วยอีก 1 อาชีพ
ข้อเสีย
1.
มีระยะเวลาปลูกฝังความรู้
และประสบการณ์ของวิชาชีพครูจำกัด
คือ 1 หรือ
1 ½
ปี
2.
เรียนวิชาชีพครูน้อยเกินไป คือ
24 หน่วยกิต
ต้องทั้งเรียนรายวิชา
และฝึกประสบการณ์
เมื่อเปรียบเทียบกับครูพันธุ์แท้ที่เรียนวิชาชีพครูไม่น้อยกว่า 50
หน่วยกิต และเรียนต่อเนื่องตลอดหลักสูตร 5
ปีรูปแบบที่
3 ครูพันธุ์พิเศษ หมายถึง
ครูที่เรียนหลักสูตรครูและหลักสูตรศาสตร์ตรงไปพร้อม ๆ กัน
โดยนำข้อดีของหลักสูตรครูพันธุ์แท้
และครูพันธุ์ผสม
มาประยุกต์ใช้สร้างหลักสูตรใหม่คือ
หลักสูตรปริญญาตรีคู่ขนาน (Dual
Degree)
โดยมีการเทียบโอนระหว่างหลักสูตร
ก็จะได้หลักสูตรคู่ขนานของครูพันธุ์พิเศษ ดังนี้
รายการ | ครูพันธุ์แท้(1 ปริญญาตรี) | ครูพันธุ์ผสม(1 ปริญญาตรี + ป.บัณฑิต) | ครูพันธุ์พิเศษ (2 ปริญญาตรี) |
ระยะเวลาเรียน | 5 ปี | 4+1 ½ ปี = 5 ½ ปี | 5 ปี |
จำนวนหน่วยกิต (อย่างน้อย) | 160 หน่วยกิต | 120+24 = 144 หน่วยกิต | 30+50+80+ อย่างน้อย 20 = อย่างน้อย 180 หน่วยกิต |
ฝึกประสบการณ์ | 1 ปี | 1 ปี | 1 ปี |
การเรียน (ปีละ) | 2 ภาคเรียน | 2 ภาคเรียน | 3 ภาคเรียน |
หมายเหตุ ปัจจุบันหลักสูตรของศาสตร์ตรงมากกว่า 120 หน่วยกิต อยู่ระหว่าง 130–140 หน่วยกิต |
หลักคิด
การบริหารจัดการครูพันธุ์พิเศษ
1.
ผู้เรียนต้องเรียนหลักสูตรศาสตร์ตรงทั้งหมด
ซึ่งรายวิชาของศาสตร์ตรงส่วนหนึ่งจะเทียบโอนไปเป็นรายวิชาของหลักสูตรครู
หรืออาจกล่าวว่าเทียบโอนจากหลักสูตรครูไปเป็นรายวิชาของหลักสูตรศาสตร์ตรงส่วนหนึ่งก็ได้
ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 15
วรรคสาม
ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.
2542 “ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกัน
หรือต่างรูปแบบได้
ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม
รวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบ
ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ
หรือจากประสบการณ์การทำงาน”
2.
การจัดแผนการเรียนอยู่ที่ข้อตกลงการบริหารทางวิชาการ
ระหว่างหลักสูตรครูกับหลักสูตรศาสตร์ตรง
ทั้งนี้แผนการเรียนจะต้องจัดให้เรียนปีละ 3
ภาคเรียน และใช้เวลาเรียน 5 ปี
(รวมทั้งฝึกประสบการณ์วิชาชีพ 1 ปี)
แนวคิดของครูพันธุ์พิเศษ (2 ปริญญา)
มีข้อดีและข้อเสียดังนี้
ข้อดี
1.
ผู้เรียนจะมีความเข้มข้นทางด้านวิชาการ
เนื่องจากเรียนหลักสูตรศาสตร์ตรงทั้งหลักสูตร
2.
ผู้เรียนจะมีความเข้มข้นทางด้านวิชาชีพครู
เพราะเรียนมากถึงอย่างน้อย 50 หน่วยกิต
และเป็นการเรียนต่อเนื่องตลอด 5 ปี
3.
ผู้สำเร็จการศึกษามีทางเลือกในการประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น
เป็นการผลิตที่ไม่สูญเปล่า
และไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดก็สามารถใช้ความรู้ที่ได้เรียนทั้ง 2
ศาสตร์ ไปบูรณาการได้
4.
เป็นการใช้ทรัพยากรการผลิตร่วมกัน
ระหว่างต่างคณะภายในมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ข้อเสีย
1.
ผู้เรียนต้องเรียนหนักตลอด 5 ปี
จึงต้องมีการวางแผนการเรียนที่เหมาะสม
และรับเฉพาะผู้สนใจ
ใฝ่เรียนจริงๆ
2.
ผู้เรียนต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
เนื่องจากจะต้องลงทะเบียนเรียนทั้ง 2 ปริญญา
ตัวอย่างเช่น
ค่าธรรมเนียมรวมตลอดหลักสูตรของปริญญาศาสตร์ตรง 80,000
บาท และปริญญาหลักสูตรครูอีก 80,000
บาท
เมื่อเทียบโอนแล้วผู้เรียนอาจต้องจ่ายรวมประมาณ 120,000
บาท
(เนื่องจากสามารถเทียบโอนรายวิชาได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของหลักสูตรทั้งสอง)
ข้อเสนอ
หากหลักสูตรครูพันธุ์พิเศษ
ได้รับการสนับสนุนเข้าเป็นแนวทางการพัฒนาครูของกระทรวงศึกษาธิการ
อีกทางเลือกหนึ่งเห็นสมควรสนับสนุนดังนี้
1.
จัดสรรทุนการศึกษาให้ผู้เรียน
2. จัดสรรอัตราบรรจุ
แต่งตั้งเมื่อสำเร็จการศึกษา
3.
กำหนดอัตราเงินเดือนให้เหมาะสมกับการเรียนสำเร็จปริญญาตรี
2 ปริญญ
สรุป
หลักสูตรครูทั้ง 3 รูปแบบ
ควรเป็นอิสระในการเลือกจัดหลักสูตรของคณะครุศาสตร์
ศึกษาศาสตร์แต่ละสถาบันตามความพร้อมและความเหมาะสม
และควรมีการทำวิจัยติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรทั้ง 3
รูปแบบ
ไม่อยากให้ใช้คำว่า พันธุ์ เท่าไหร่เลยครับ
ฟังแล้ว มันแปลก ๆ
ดูแบ่งแยกชนชั้น ยังไงไม่รู้ครับ