ความพอดีที่พอเพียง อย่างเป็นสุข


“อยู่ร้อนนอนทุกข์” “อยู่เย็นเป็นสุข” ด้วย “ความพอดีที่พอเพียง”

     “อยู่ร้อนนอนทุกข์” เพราะความสุขเช่นเดิม ๆ ที่เคยคงอยู่กับวัฒนธรรมคนไทย ได้ถูกลดลงมาเหลือเป็น “ความสุขที่ได้รับจากการบริโภคเพียงอย่างเดียว” เราจึงต้องมีเงินให้มาก ๆ หามาให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิชา (มาร) อย่างไร สื่อสารมวลชนก็มีส่วนเป็นตัวกระตุ้นการบริโภค ซึ่งเป็นไปตามกลไกของระบบทุนเสรีนิยม ยิ่งหามาเพื่อปรนเปรอก็ยิ่งทุกข์ โดยเฉพาะการเพิ่มความสามารถให้คนสามารถใช้จ่ายเงินล่วงหน้าได้ด้วยเครดิต ยิ่งทำให้ทุกข์ทวี (ผู้เขียนก็มีปัญหานี้จากธนวัฒน์) การผลิตเพื่อส่งออก ที่แข่งขันกันอย่างหน้ามืดตามัว เราส่งยางพาราที่ราคาดีออกไป แต่เราก็ถูกกระตุ้นให้ซื้อหามาใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ (ตามจำนวนบุตร) ทีวี วีซีดี หรือ ติดตั้งจานดาวเทียมที่บ้าน (ในปัจจุบันแถบชนบทที่เป็นชาวสวนยางก็มีจานดาวเทียมรับชมทีวีให้เห็นกันอย่างดาษดื่น)

     “อยู่เย็นเป็นสุข” เมื่อจะนอนก็นอนหลับได้ดี ไม่วิตกกังวลว่าจะมีโจรผู้ร้าย ไม่เคลือบแคงสงสัยในความอคติของสังคม ไม่เกรงกลัวว่าลูกจะติดยา หรือติดอบายมุข หากไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อตามกระแส แถมด้วยการมีวัฒนธรรมชุมชนที่ดีงามสอดแทรกอยู่ในทุกกิจกรรมชุมชนอย่างเช่นในอดีต มีการอยู่ร่วมกันอย่างไว้เนื้อเชื่อใจกัน แม้จะต่างวัฒนธรรมกัน แต่จะเคารพกันและกัน ให้เกียรติกัน มีการคิดถึงผู้อื่นว่าหากเราดำเนินการไปตามที่ตั้งใจไว้ แม้จะเป็นไปตามสิทธิ ใครจะเดือดไหม หากมีจะได้หาทางป้องกัน หรือล้มเลิกได้ก็ล้มเลิกเสีย ใช่จะฝืนต่อไปจนเกิดความแตกแยกเสียหาย ดังที่ท่าน ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ กว่าวไว้ว่า “การรู้จักคิดถึงผู้อื่นก็เป็นสุขอย่างยิ่ง” เป็นอาทิ

     “ความพอดีที่พอเพียง อย่างเป็นสุข” คงต้องมองในทุกมิติทั้งที่เป็นเศรษฐกิจ สังคม ธรรมชาติและสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม ความพอดีที่พอเพียงไม่ใช่การสันโดษ ก็ยังอยู่ในสังคมได้ตามปกติ อยู่กันหลาย ๆ คนเช่นเดิม แต่เป็นการอยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน การแบ่งปันความสุขกันโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นความสุขที่ไม่ได้จากการบริโภค เช่น ความสุขจากการพูดคุยสนทนากัน ความสุขจากการชวนกันไปทำบุญ ทำศาสนกิจ ตามความเชื่อในแต่ละวัฒนธรรม ความสุขในการพบปะกันบนลานกีฬาของชุมชน ความสุขที่ได้ดูแลผู้เฒ่าผู้แก่ ความสุขที่ได้มาประชุมกันในแต่ละเดือน ณ ศาลาประจำหมู่บ้าน ฯลฯ

     หมายเหตุ: ปรุงขึ้นจากประสบการณ์ที่ได้รับรู้รับฟังการสนทนากัน เวที ลปรร.ของชาวบ้าน หรือของเครือข่ายฯ ในแต่ละพื้นที่ ในการเดินเรื่องตามโครงการไตรภาคีร่วมพัฒนาสุขภาพชุมชน ตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน ผนวกเข้ากันกับความรู้จากเอกสารของ สำนักงานปฎิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปรส.)

 

หมายเลขบันทึก: 37833เขียนเมื่อ 8 กรกฎาคม 2006 21:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)
  • ขออยู่เย็นเป็นสุขครับ ตามไปอ่านหนังสือคุณหมอประเวศเรื่องพุทธรรมกับสังคมสิครับ
  • มีประเด็นนี้ชัดเจนครับผม

ได้รับความคิดเห็นจากท่านชายขอบตรงกับใจในขณะนี้พอดี  ทุกวันนี้พอเพียงแล้วสำหรับการงาน  หน้าที่  แต่ด้วยภาระของการปฏิบัติงานหมุนเวียนไป จึงเหมือนคนที่ยังไม่พอ  ต้องโลดแล่นไปอีก

แต่ทุกวันนี้มีความสุขที่ได้ ลปรร  และเลือกเส้นทางนี้ที่จะแบ่งปันความคิด  ความรู้สึกที่ดี  เป็นกำลังใจให้กันและกันค่ะ

ขอบคุณ คุณขจิต  ฝอยทอง  จะไปหามาอ่านนะคะ

ฉันนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ..........

ตรงหน้า..ค่ำคืนนี้มีดอกเล็บมือนาง เต็มโถแก้ว
บานสวยสามสีแข่งกันแดง ชมพู และขาวนวล
เหนือขึ้นไปเป็นบอนกระดาษ
ที่มาวันนี้แผ่ก้านใบโชว์เขียวใสละออ

กลิ่นตะไคร้ผง..หอมอวลแกล้มมากับสายลมเย็น
กับกลิ่นธรรมชาติงาม  

ฉันมองตั๊กแตน..สองตัวที่สานด้วยใบตาล
ที่ล้อลมอยู่ตรงหน้า ที่ฉันนำมาเสียบแขวนไว้
กับกิ่งก้านบอนให้กวัดแกว่งไปตามแรงลม..

เป็นฝีมือละอียดละออ ของหนุ่มน้อยชนบท
ที่ดวงตาใสซื่อ เว้าวอน ให้ฉันช่วยซื้อมาสักสองตัว.
ตอนที่ฉันแวะทานข้าวที่ชะอำ...

ด้วยคำวอน...
ผมจะหาตังค์ซื้อกระเป๋าสักใบ
ใบนี้มันขาดแล้วขาดอีก เขาชี้ไปที่..
กระเป๋าเก่าๆที่ขาดกระรุ่งกระริ่ง
ที่สะพายอยู่บนบ่าไว้เก็บข้าวของ  

ฉันเบือนหน้าหนีด้วยสะเทือนใจ..
เพราะสิ่งที่ตามมาในคลองตาที่ฉันเห็น
มิใช่เพียงกระเป๋าขาดๆเพียงนั้น

แต่ยังเสื้อผ้าที่..เขา..สวมใส่อีกเล่า..
ก็เก่าแสนเก่าคร่ำคร่าดำปี๋ขาดพอกัน  

โลกหนอโลก..หลุยส์วิตตองหนอหลุยส์วิตต๊อง
ที่สาวๆไฮโซซื้อกันใบละหมื่นละพัน  

ฉันสัญญา..สัญญากับใจตัวเองนาทีนั้นว่า..
ฉันจะกลับไปที่นั่น ร้านนั้นอีกครั้งครา
เพื่อจะหากระเป๋าใบใหม่ไปให้

หวังว่า..เขา..คงยังอยากได้อยู่นะ
อีกไม่ช้านาน..  
และจะขอซื้องาน งามฝีมือประณีต
ตั๊กแตนสานสวยมาอีกสัก10ตัว
ที่เขาใช้ สมองใสซื่อใช้มือแสนดีที่ซื่อสัตย์สุจริตถักทอ.
ด้วยดวงใจ..งดงาม  

ฉันจะนำมาแขวนเตือนใจ..นี้.
เพื่อบอกว่าความพอ..ความดีมันอยู่ตรงนี้
ที่สมองด้านขวาและหน้าอกข้างซ้ายนี้ที่มีใจดวงเดิมดวงดี
ที่คิดเป็นเห็นงามง่าย ใกล้ตัว ใช่อื่นไกล ใช่ไหมคนดีทุกดวงใจ...

ได้รับเมล์นี้ที่ฟอร์เวิร์ดมาค่ะ
เห็นว่าน่าสนใจ
เลยมาเผยแพร่ให้อ่านกัน
และ
สุดแล้วแต่วิจารณญาณนะคะ

FW: จุดจบเมืองไทย (ที่ควรทราบโดยสังเขป)
>ปี 2553 จุดจบประเทศไทย......ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย
>เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้.....ประเทศต่างๆในโลกนี้มีเกิดมีดับตลอดเวลา.....ประเทศไทย
>ก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน สืบเนื่องจากการบรรยายของ
>คุณนิติภูมิ
>ซึ่งเป็นสื่อมวลชนจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยมอสโค
>ซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง
>เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่าประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น
>6-14ประเทศ  ซึ่งในตอนนั้นนักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ
>หัวเราะจนฟันกระเด็นแต่ต่อมาพอปี2542
>เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง!ประเทศอินโดฯ
>ได้เริ่มแตกเป็นติมอร์และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศอาเจะ
>และอีกหลายประเทศที่จะเกิดตามมาในวันที่ 11 ธันวาคม 2543
>ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม
>
>ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯคุณนิติภูมิได้บรรยายว่า
>ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - ...ประเทศ แน่นอน!
>ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญแต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ
>โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี2553
>ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลงGATTsจะเริ่มมีผลสมบูรณ์การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์สินค้าเกษตรต่างๆ
>จากต่างประเทศ จะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล
>ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกันและสินค้า
>เกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ
>ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง
>เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย
>จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน
>คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน คนปลูกหอม
>กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน
>
>เป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้
>เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน
>เนื่องจากสินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว
>เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศพันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
>เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจากGMOs
>และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้
>วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยรัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้
>เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว
>ไฟฟ้าก็แพงขึ้น  น้ำมันก็แพงขึ้น
>โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว
>เค้าสามารถตั้งราคา
>ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่าเขาจะไม่มีกำไร
>ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น  ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำตัดไฟ
>ตัดโทรศัพท์
>คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้
>ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบๆๆเมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้
>การขายที่ดินราคาถูกๆและจำนวนมหาศาลจะตามมา
>คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ
>ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้าน
>ซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว
>เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้
>เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้วไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็
>ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus,
>Carrefour,ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอ
>เสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ
>ดังนั้น เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก
>เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด...เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้...รัฐจะอยู่ได้ฤา?
>4
>จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย
>
>เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรมในปี2553
>คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศเพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย
>การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลงการสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น
>จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหารก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย
>ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้วการแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นานจากนั้น
>ภาคตะวันออก
>บริเวณจันทบุรี ตราด  ระยอง  ฉะเชิงเทรา
>จะขอแยกตัวตามมาเนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว
>เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ
>ทั้ง สมุนไพร อาหารต่างๆ  เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ
>การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยากนั่นหมายถึง
>การซื้อประเทศไทยคล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ
>Alaska จาก
>Russiaเราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร?
>ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2
>เกือบทุกวันนั้น
>ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงาน
>เขียนของนิติภูมิ ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ
>ในการวิเคราะห์บ่อยครั้งที่นิติภูมิ
>มองการค้า การเมือง
>สังคมไปพร้อมกันรวมทั้งประวัติศาสตร์เขามองอาเจนติน่า
>ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ  ก่อนล่มจริง...เขาทำนาย
>การเกิดสงครามอเมริกากับอิรัค
>ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ  ผมว่า
>สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของ
>คนไทยแทนที่ไปเดิน big-c, lotus,
>careflour,เพราะผมบอกแม่บ้านและลูกๆว่า
>เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน
>ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไรเพราะเราไป
>คาร์ฟูร เงิน 100 บาท ที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส
>86บาทเหลือให้คนไทย14บาท
>เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิกซี
>โลตัสเหมือนกัน
>นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง
>ผมตกใจมาก
>และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้นเพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า
>90 เปอร์เซ็นต์  
>แล้วบางห้าง 86ปอร์เซ็นต์สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท
>ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5
>บาทก็ซื้อที่นี่เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทยกลับมาหาลูกเอง
>ผมคิดแบบนี้จริงๆๆ  ถ้าซื้อจากห้าง 1,000
>บาทมันไหลไปต่างประเทศ 900 บาท ที่เหลือ 100 บาท
>ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง
>มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียวห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง
>ทั่วประเทศ คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง
>คาร์ฟูส่งห้างต่างชาติ เกือบ100 เปอร์เซ็นต์เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน
>จึงไหลไปหมดในประเทศจึงไม่เหลืออะไรทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้
>ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง เลิกกิน kfcและพยายามทานให้ลดลง
>และจำนวนหนต่อปีน้อยสุด  ผมอธิบายวิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน
>และลูกฟังหัดให้ลูกมาทานบัวลอย
>ขนมชั้นข้าวเหนียวเปียกแทนถั่วดำข้าวเหนียว
>
>ดีครับได้ผล...ลูกเปลี่ยนวิธีกิน... วิธีคิดไปเลย... เปลี่ยนไปได้มาก
>พอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้างลูกเดือยบ้าง
>ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ
>ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้า มา 3ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ
>แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกันราคาต่างกันลิบเลย
>ผมก็อธิบายคำว่า license (ค่าลิขสิทธิ) ให้ลูกฟัง ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35
>บาท
>
>ค่าไก่ 15บาทที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธไก่แม่ค้า
>ที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ
>ใบตองที่ห่อขนมไทยไม่มีลิขสิทธิ มันเป็นวัสดุธรรมชาติ
>ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน  
>ขนมต่างชาติ ห่อสวยแพงเพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ เวลามันหล่นที่พื้น
>ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน200 ปี
>ผมสอนแบบนี้  ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย  ผมทำได้และได้ทำแล้ว
>ปล.ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับ
>ยาวไปหน่อยแต่อยากให้อ่าน เพื่อที่ไทยเราจะได้อยู่รวมเป็นชาติไทยต่อไป
>** เมื่อกี้ดูที่นี่ประเทศไทย
>เปิดเพลงชาติให้ฟังไม่เคยฟังแล้วรู้สึกว่าอยากร้องไห้เท่าวันนี้เลยฟังแล้ว
>เห็นภาพที่คนไทยทั้งประเทศ ช่วยกันช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้
>แต่อยากจะขออีกอย่างหนึ่งคือรักชาติหน่อยช่วยกันหน่อยครับ
>ซื้อสินค้าไทย
>เลิกได้แล้วกับการซื้อของแบรนเนมมันจะทำให้ชาติล่มจม
>เป็นไงครับเสียเวลาในการอ่านสักหน่อย
>แต่ก็พอจะรู้อะไรได้บ้าง

ความพอดี...

และพอเพียง..

อยู่..ที่เรา..

ตั้งไว้...อย่างไรว่า...

พอดีและพอเพียง

Dr.Ka-poom

    ใช่ครับเราตั้งเอง แต่ตอนเราตั้งต้องใช้ "สติ" "สมาธิ" และ "ปัญญา" ครับ ยากตรงนี้แหละครับ ผมว่านะ

สติ...ใช้ตั้ง...ให้ตั้งใจ...

สมาธิ...ใช้ตั้ง..ให้นิ่งเข้าไว้...

ปัญญา...ใช้ตั้ง..คิดไว้..แตกยอด

ฝึกฝน...และเพียรทำ...

แม้ยากยิ่ง...หากได้ทำ...และทำได้...

เป็นสุขยิ่งนัก

คุณ.......ครับ

     ขอบคุณมากนะครับ อ่านบทกวีแล้ว รู้สึกดีจังเลยครับ

Dr.Ka-poom

     เป็นข้อคิดที่ดีเลยทีเดียวครับ สำหรับใช้ "สติ" "สมาธิ" และ "ปัญญา" แต่ดูท่าทำยากจัง

  

  • ไม่เคลือบแงสงสัย
  • ใครจะเดือด ?ไหม
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท