เมื่อประมาณช่วงเช้าดิฉันได้รับ Consult case จาก ward โดยพี่นางมาบอก ดิฉันก็เลยให้เขาส่งมาที่แผนก ทราบพอคร่าวๆ ว่าผู้ป่วยเป็นโรคจิตเภทที่ขาดการรักษามาหลายปี จากนั้นอีกประมาณสิบนาที ก็มีเจ้าหน้าที่เข็นเปลมาส่ง พี่หน่อย(ใหญ่) จึงได้เข้าไปประเมินและสอบถามอาการในเบื้องต้น จึงทราบมาว่าผู้ป่วยขาดการรักษามาได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี คือไม่มีการรักษาหรือได้รับการรับประทานยาใดๆ เลย ที่มาโรงพยาบาลครั้งนี้ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าและแนวโน้มทำร้ายตัวเอง..ระหว่างที่เราประเมินอาการผู้ป่วยเอาแต่ร้องไห้และบ่นท้อแท้ชีวิต โดยที่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้...สลับกับอาการเอะอะคลุ้มคลั่ง
สิ่งที่เราดูแลผู้ป่วยได้ในขณะนั้นคือ การทำให้เขารู้สึกว่ายังมีคนที่ใส่ใจเขา คอยฟังเรื่องราวและความทุกข์ท้อของเขาอยู่ ระหว่างนั้นในทีมเราก็โทร Consult แพทย์ประจำกลุ่มงานเพื่อหาแนวทางในการวางแผนการรักษาต่อ แต่ในทางปฏิบัติผู้ป่วยที่ขาดยาหรือขาดการรักษามานานต้องเริ่มต้นการรักษาใหม่นั่นคือเราต้องส่งผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ ที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อพบจิตแพทย์และวางแผนการรักษาแล้วค่อยกลับมารับยาต่อที่โรงพยาบาลยโสธร นี่แหละคือความลำบากที่ผู้ป่วยจิตเวชในเขตพื้นที่นี้และใกล้เคียงต้องเผชิญ เพราะเราไม่มีจิตแพทย์ และไม่มีแพทย์คนใดที่อยากจะเรียนต่อในสาขานี้ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลมีทุนให้..
หลังจากที่เราพยายามติดต่อแพทย์หลายครั้งและติดต่อไม่ได้นั้น จึงได้ประสานกลับไปที่ ward เพื่อให้แพทย์ประจำคนไข้นั้น สั่งยาเพื่อเพื่อให้ผู้ป่วยมีอาการสงบก่อน จากนั้นจึงค่อยส่งต่อไปที่โรงพยาบาลเฉพาะทางต่อ...ความสามารถและศักยภาพภายใต้ขอบเขตหน้าที่ที่เราสามารถทำได้ก็เป็นเพียงแค่การบำบัดทางจิตที่ไม่ใช่การใช้ยา หรือที่เรียกว่าการทำจิตบำบัดแต่สำหรับ case นี้เราไม่สามารถทำจิตบำบัดได้เพราะผู้ป่วยเองยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่เราก็ต้องคอยกำชับญาติและทาง ward ให้คอยเฝ้าระวังภาวะการทำร้ายตัวเองของผู้ป่วยอย่างดี...
ไม่มีความเห็น