ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีหลักคำสอนที่คล้ายคลึงกับคำสอนเรื่องทิศ6 ในพระพุทธศาสนา คือหลักคำสอนที่ว่าด้วยการปฏิบัติระหว่างบุคคลต่อบุคคล
หลักธรรม |
ความหมาย |
ปิตฤธรรม |
การปฏิบัติหน้าที่ของบิดาต่อบุตร บิดาต้องทำหน้าที่เลี้ยงดูบุตรจนถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ |
มาตฤธรรม |
การปฏิบัติหน้าที่ของมารดาต่อบุตร มารดาต้องทำหน้าที่เหมือนบิดา ต้องเอาใจใส่บุตรเป็นพิเศษ |
อาจารยธรรม |
การปฏิบัติหน้าที่ของครูอาจารย์ต่อศิษย์ ต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์อย่างถูกต้อง ยุติธรรม ดูแลลูกศิษย์อย่างที่พ่อแม่เลี้ยงดูบุตร สร้างและแก้ไขความประพฤติ นิสัย อุปนิสัยของลูกศิษย์ร่วมกับพ่อแม่ของลูกศิษย์ |
บุตรธรรมและศิษยธรรม |
การปฏิบัติหน้าที่ของบุตรต่อบิดามารดา และการปฏิบัติหน้าที่ของศิษย์ต่อครูอาจารย์ ในตำราศาสนาพราหมณ์บัญญัติไว้ว่า”บุคคลที่จงรักภักดีต่อมารดา ผู้นั้นเป็นผู้ชนะโลกนี้ บุคคลที่จงรักภักดีต่อบิดา ผู้นั้นย่อมชนะโลกสวรรค์ และบุคคลที่จงรักภักดีต่อครูอาจารย์ ผู้นั้นย่อมชนะโลกพระพรหม” “บุคคลที่ได้ทำการเคารพบิดา มารดา และครูผู้นั้นได้ชื่อว่าได้ปฏิบัติธรรมทุกประการแล้ว แต่ผู้ที่ทำการดูถูกทั้งสามนี้แล้ว ผู้นั้นย่อมไม่ถึงซึ่งความสำเร็จไม่ว่าจะทำการกุศลมากมายสักเท่าใดก็ตาม ผู้ที่ต้องการความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้าก็ตามที จึงต้องเคารพนับถือบิดา มารดา ครูอาจารย์อย่างจริงใจ ต้องอยู่ในโอวาท เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของท่าน |
ภราตฤธรรม |
การปฏิบัติของพี่ต่อน้องและน้องต่อพี่ น้องต้องให้ความเคารพพี่เหมือนบิดามารดาและครู |
ปติธรรม |
การปฏิบัติหน้าที่ของสามีต่อภรรยา ผู้ชายต้องเลือกคู่ชีวิตที่มีความเหมาะสมแก่ตระกูลของตน เหมาะต่อสังคมที่ตนอาศัยอยู่ |
ปัตนีธรรม |
การปฏิบัติหน้าที่ของภรรยาต่อสามี ผู้เป็นภรรยาต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อสามีด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต้องเอาใจใส่สามีอย่างจริงจัง ต้องถืออยู่ในจิตใจของตนเสมอว่าผู้ชายทั้งหลายยกเว้นสามีของตนเองแล้วเป็นบิดา พี่น้อง บุตรหลานเท่านั้น |
สวามีธรรม-เสวกธรรม |
การปฏิบัติหน้าที่ของสวามี(นายจ้าง)ต่อเสวก(ลูกจ้าง) ผู้เป็นนายจ้างมีหน้าที่เลี้ยงดูลูกจ้างและครอบครัวของเขา จ่ายค่าตอบแทนให้สมควรแก่ภาระงาน |
ราชธรรม |
การปฏิบัติของพระราชาหรือผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่มีต่อประชาชน เอาใจใส่ความทุกข์สุขของประชาชน |
อาศรม 4
คำว่าอาศรมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หมายถึงช่วงหรือระยะเวลาของชีวิต และยังหมายถึง ที่สำหรับอยู่อาศัยของนักบวช อีกด้วย
ในยุคพราหมณ์ การดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาของบุคคลในวรรณะสูงทั้ง 3 คือพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ นั้นจะต้องดำรงชีวิตตามหลักอาศรม 4 คือ
1. พรหมจรรย์
คือช่วงชีวิตที่ใช้ในการศึกษาเล่าเรียน เพื่อนำความรู้มาแสวงหาทรัพย์สมบัติทางโลก เป็นระยะที่ต้องศึกษาเล่าเรียนสาระของพระเวท ยัญพิธี และวิชาการอื่นๆ อยู่กับครูเป็นเวลาอย่างน้อย 12 ปี และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับและคำสั่งสอนของครูอย่างเคร่งครัด บุคคลที่อยู่ในอาศรมพรหมจรรย์เรียกว่าพรหมจารี ต้องปฏิบัติตนดังต่อไปนี้
1.1 เชื่อฟังคำสั่งสอนของครูทุกประการ และต้องถือว่าตนเองนั้นเป็นทาสของครู
1.2 ออกไปรับภิกษาและสิ่งของต่างๆ และต้องนำสิ่งของที่รับมานั้นมาให้ครูเสียก่อน ถ้าครูอนุญาตให้รับประทานจึงจะเริ่มรับประทานได้ ถ้าไม่อนุญาตก็รับประทานไม่ได้
1.3 สงวนหรือรักษาน้ำกามอันเป็นสาระสำคัญของร่างกายไว้ให้จงดี เมื่อพรหมจารีทั้งหลายสำเร็จ การศึกษาแล้ว ก่อนลาครูกลับสู่บ้านเรือนอันเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่อาศรมที่สอง ครูก็จะอบรมสั่งสอนพรหมจารีผู้เป็นศิษย์ให้ตั้งอยู่ในธรรม เพื่อการเป็นผู้ครองเรือนที่ดี ตัวอย่างคำสอน
- จงพูดแต่ความสัตย์
- จงปฏิบัติแต่ทางธรรม
- จงเอาจตุปัจจัยถวายแก่ครูอาจารย์ แล้วตนเองก็เข้าสู่เพศฆราวาส อย่าทำให้วงศ์ตระกูลต้องขาดสาย
- จงปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เหมาะสมกับสามีที่ดี ซื่อสัตย์ต่อภรรยาและเป็นบิดาที่ดีต่อบุตรธิดา
- จงพยายามทำกุศลกรรม
- อย่าประมาทในการทำให้มีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ
- จงอย่าประมาทในการบูชาสักการะองค์เทพเจ้า เทวดา และปิตระ(คือบรรพบุรุษของตน)
- จงถือว่าบิดามารดา ครูอาจารย์ และอติถิ(แขกที่มาสู่บ้านโดยบังเอิญ)เป็นเสมือนพระเจ้าองค์หนึ่ง
- จงกระทำในสิ่งที่ดีที่ไม่เป็นที่ติฉินนินทา นอกจากนี้ยังปฏิบัติตามและยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีแต่โบราณกาลด้วย
- จงฟังและเคารพบุคคลที่มีวัยวุฒิและคุณวุฒิ
- สิ่งที่จะมอบให้ผู้อื่น จงให้ด้วยความศรัทธา ด้วยความเต็มใจและดีใจ ด้วยความรักและความอ่อนหวาน อย่าให้ด้วยความไม่ศรัทธา ด้วยความกลัว หรือการถูกบังคับ
- จงไปหาผู้อาวุโสหรือผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อเธอสงสัยในข้อปฏิบัติว่าถูกต้องหรือไม่ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นขจัดข้อข้องใจให้
2. คฤหัสถ์
คือ ช่วงแสวงหาความสุขทางโลก มีครอบครัว มีบุตรธิดา แสวงหาทรัพย์สมบัติ ประกอบยัญพิธี และรับผิดชอบต่อชุมชน บุคคลที่อยู่ในช่วงนี้เรียกว่าคฤหัสถ์ หมายถึงผู้ครองเรือน
3. วานปรัสถย์
คือ ช่วงที่ต้องปฏิบัติธรรม หรือทำตนให้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมโดยการออกไปพำนักอยู่ในอาศรมในป่า บำเพ็ญตบะและข้อปฏิบัติอื่นๆทางศาสนาอย่างเคร่งครัด บุคคลที่อยู่ในอาศรมนี้เรียกว่า วานปรัสถย์
4. สันนยาสะ(สันยาสี)
คือ การปฏิบัติเพื่อบรรลุโมกษะอันเป็นจุดหมายสุดท้ายของคนฮินดูเป็นช่วงที่สละสมบัติทุกอย่างเหลือแต่ผ้านุ่งกับภาชนะสำหรับภิกขาจารและหม้อน้ำ ออกจากอาศรม เที่ยวจาริกเร่ร่อนภิกขาจารเรื่อยไป ไม่ซ่องเสพสังคม พิจารณาเห็นความเสื่อมโทรม ปฏิกูลระคนด้วยทุกข์ของร่างกาย ให้จิตใจสงบระงับ ครั้นสรีระแตกดับสลายเป็นวัตถุธาตุ อาตมันจักได้คืนสู่พรหมัน บุคคลที่อยู่ในอาศรมนี้เรียกว่า สันนยาสี
อาศรม 4 นี้เรียกอีกอย่างหนึ่งเป็น อัตถะ กามะ ธรรมะ และโมกษะ แต่ละช่วงกินเวลาช่วงละ 25 ปี
พรหมัน อาตมัน ปรพรหม ปรมาตมัน
พรหมัน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปรพรหม เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในภาวะ เป็นสิ่งแท้จริงสูงสุด เป็นตัวตนที่เที่ยง(อัตตา)ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่มีรูปร่าง ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีที่สุด ดำรงอยู่ตลอดกาล มีอยู่ในทุกสิ่ง ปรากฎอยู่ในทุกสิ่ง โดยที่ทุกสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากพรหมันหรือมาจากพรหมัน แต่พรหมันเองไม่มีเหตุ เป็นสิ่งที่มีอยู่ได้ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นพรหมันจึงไม่ใช่พระพรหม มีคำกล่าวแสดงลักษณะของพรหมันอยู่ 3 คำคือสัต จิต อานันทะ(Prabhavanda 1972 : 67)
สัต หมายถึง ความมีอยู่ของพรหมัน คือแสดงให้รู้ว่าพรหมันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง มีอยู่นิรันดร และเป็นอมตะ(immortal)
จิต คือ คำอธิบายลักษณะของพรหมันว่ามีอยู่ในลักษณะเป็นจิตบริสุทธิ์หรือสัมปชัญญะบริสุทธิ์(pure consciousness)
อานันทะ แสดงคุณลักษณะของจิตบริสุทธิ์หรือสัมปชัญญะบริสุทธิ์ว่ามีสภาพเป็นความสุขหรือความบันเทิงสูงสุดที่เรียกว่า นิรามิสสสุข(dliss)
คำทั้งสามคือ สัต จิต อานันทะ จึงเป็นคำบอกให้ทราบถึงภาวลักษณะแห่งสิ่งสัมบูรณ์คือพรหมัน
พรหมัน หรือปรพรหม
เป็นอาตมันสากล ส่วนอาตมันของมนุษย์เป็นอาตมันย่อย ซึ่งถือเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่มีการเกิดและการตาย เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้นจึงเรียกพรหมันเสียใหม่ว่าปรมาตมัน แปลว่า อัตตาสูงสุด ส่วนตัวตนย่อยเรียกว่า ชีวาตมัน แปลว่า อาตมันของชีวะ ซึ่งชีวะในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นด้วยร่างกายและวิญญาณ ร่างกายเกิดขึ้นจากการผสมของดิน น้ำ ลม ไฟ ส่วนวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของอาตมันสากล
ข้อแตกต่างของปรมาตมัน กับ ชีวาตมันคือ ปรมาตมันไม่ได้ถูกจำกัดด้วยสิ่งใด แต่ชีวาตมันถูกจำกัดด้วยร่างกาย มนุษย์แต่ละคนมีชีวาตมันเป็นแกนกลางของชีวิต ร่างกายมีการเปลี่ยนแปรและสลายไปในที่สุด ส่วนชีวาตมันนั้นคงสภาพเดิมอยู่ตลอดไปโดยไม่เปลี่ยนแปรหรือสลายตามไปด้วย ทั้งนี้ก็โดยที่มันเป็นส่วนหนึ่งของอาตมันสากลหรือปรมาตมันในเวลาที่คนตาย ชีวาตมันจะละทิ้งร่างเก่าแล้วไปอาศัยร่างใหม่ เหมือนคนเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดเก่าเป็นชุดใหม่ ฉะนั้น
ปรพรหม และอปรพรหม
เมื่อพรหมัน หรือปรพรหม มีลักษณะเป็นจิต จึงเกิดปัญหาขึ้นว่า โลกและสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะจิตไม่มีรูปร่างอย่างมนุษย์ จะทำการสร้างอย่างไร อีกประการหนึ่งเมื่อเทพเจ้ามีลักษณะเป็นจิต การบวงสรวงบูชาเพื่อขอให้อำนวยผลประโยชน์ต่างๆ ย่อมไม่สามารถกระทำได้ ดังนั้นจึงต้องมีการอธิบายเพิ่มเติมว่าพรหมัน หรือปรพรหมอีกแง่หนึ่ง คือ อปรพรหม อปรพรหมคือ พรหม พรืออิศวร เป็นเทพเจ้าที่มีตัวตน สามารถที่จะอำนวยความสุขสวัสดีให้แก่ผู้เคารพบูชาได้ พรหมหรืออิศวรเป็นการแสดงให้ปรากฎของพรหมมันหรือปรพรหม ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมาจากพรหมหรืออิศวร
ท่าทีของพระพุทธศาสนาต่อพรหม และอาตมัน
ไม่มี เรื่องพรหมันและการเข้ารวมกับพรหมันก็ไม่ต้องพูดถึง
ก. ถือเอาความหมายในแง่ที่เป็นจุดหมายสูงสุด หรือภาวะอันประเสริฐสุด นำคำว่าพรหมมา ใช้เรียกบุคคลผู้บรรลุคุณธรรมขั้นสูงระดับหนึ่ง หมายความว่าเป็นผู้ประเสริฐหรือใช้เรียกตัวคุณธรรมที่ประเสริฐ ดีงาม สูงส่งเป็นอุดมคติ เช่น พรหมวิหาร เป็นต้น
ข. ถือว่าพรหมที่เป็นตัวบุคคลนั้นหมายถึงสัตว์โลกประเภทหนึ่ง แต่เป็นชั้นสูงถึงจะมีอายุยืนยาวกว่าแต่ก็ต้องเกิด ต้องตาย เหมือนสัตว์อื่นๆ ไม่ใช่เป็นผู้สร้างโลก บันดาลชีวิต มนุษย์ฝึกอบรมดีแล้ว ยังประเสริฐกว่าพรหมและพรหมจะเคารพบูชา
ค. หมายถึง บิดา มารดา ในฐานะเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรธิดา และประกอบด้วยคุณธรรมต่อบุตรธิดา(พระราชวรมุนี 2526 : 182-183)
ที่มา : 1. ศาสนาเปรียบเทียบ รองศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม
2. ศาสนาเบื้องต้น ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
3. สิบเอ็ดศาสนาของโลก พล.อ.ต.ประทีป สาวาโย
4. จริยศาสตร์ วศิน อินทสระ
ขอขอบคุณ อ.จริยา พรจำเริญ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐมผู้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียนกลุ่มโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยในรายวิชา ศาสนศึกษา ส 31101 ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
ไม่มีความเห็น