"คนไร้รากเหง้า" กับรากเหง้าของความทุกข์ในชีวิต


ปัญหาการเป็นคนไร้รากเหง้าและไม่มีเอกสารพิสูจน์ตน ได้เริ่มต้นก่อตัวพร้อมๆ กับการถูกทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์ของเด็กกำพร้า และจะค่อยๆ เพิ่มพูนความทุกข์ลำบากในการใช้ชีวิต พร้อมๆ กับความทุกข์ในจิตใจเมื่อเด็กเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

ครั้งแรกที่ได้ยินคำว่าคนไร้รากเหง้า ก็เมื่อหลายปีก่อน ที่คณะกรรมาธิการเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ ของวุฒิสภา เริ่มศึกษาปัญหาและนำเสนอนโยบายด้านสถานะบุคคลของคนที่ไม่มีสัญชาติไทย ครั้งนั้น มีองค์กรด้านเด็กได้นำเสนอภาพเด็กกำพร้าในความอุปการะ ที่สืบค้นประวัติของตัวเองไม่ได้ ทั้งสถานที่เกิด ประวัติพ่อแม่ ทำให้ไม่สามารถจับองค์ประกอบการได้สัญชาติไทยตามกฎหมายได้

ครั้งนั้นฉันเองค่อนข้างมีคำถามในใจว่า เป็นไปได้หรือที่คนๆ หนึ่ง จะไม่รู้ประวัติของตนได้ อาจเป็นเพราะฉันมีภาพชาวเขาจากต่างประเทศบางคนที่มักตอบคำถามประวัติของตนว่า พ่อแม่ตายหมด จำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น รู้แต่ว่าตนเองเกิดในประเทศไทย

เมื่อได้มีโอกาสมาสำรวจสถานการณ์คนไร้รัฐไร้สัญชาติในพื้นที่สึนามิครั้งนี้ ฉันจึงไม่พลาดที่จะมาขอพูดคุยกับ นางสาวไข่มุก กรณีศึกษาคนไร้รากเหง้าที่อาจารย์พันธุ์ทิพย์นำเสนอ

การได้มาพูดคุยกันหน้าต่อหน้า ตอบคำถามคำต่อคำ ทำให้สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของการกล่าวอ้างข้อเท็จจริง กับการพยายามย้อนรำลึกอดีต และกลั่นคำตอบออกมาจากความเจ็บปวด จนฉันเองต้องเอ่ยปากขอโทษที่จะต้องรื้อฟื้นบาดแผลที่มีในจิตใจขึ้นมาอีกครั้ง

ไข่มุกจำได้เพียงว่า ตนมาจากอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่เด็กๆ พร้อมกับพี่คนหนึ่งที่ไปรับตัวมา ต่อมาอาจเป็นเพราะเธอดื้อ พี่จึงทิ้งเธอไว้ที่จังหวัดกระบี่ จากนั้นเธอก็อยู่กับป้าคนหนึ่ง ซึ่งเธอต้องช่วยทำงานบ้าน และขายของ ต่อมาเมื่อเธออายุได้ 10 กว่าขวบที่พอทำงานเลี้ยงตัวเองได้ เธอก็ออกจากบ้านป้าคนนั้นมาทำงานรับจ้าง ย้ายที่ทำงานหลายแห่ง ที่อยู่นานหน่อยก็เป็นที่ร้านฝรั่ง ซึ่งนายฝรั่งผู้หญิงใจดี จนเรื่อยมาจนถึงที่จังหวัดพังงา และได้พบสามี

ความทุกข์ยากลำบากในชีวิตคงไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่ต่างจากคนไร้สัญชาติอื่นๆ ที่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ไม่กล้าเดินถนนอย่างคนปกติ แต่สำหรับไข่มุก เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า การไม่มีทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ เสียใจมากอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีเอกสารด้วย ชีวิตแย่ยิ่งกว่าอีก มันมืดมนไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต เพราะถ้าไม่มีพ่อแม่ ก็ยังอยู่กับตัวเองได้...

จากนั้น 2-3 วันต่อมา เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเด็กหญิงสุวิมล หรือน้องบ้อ นักเรียนชั้น ป.1 ที่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ทำให้เห็นภาพไข่มุกตอนเด็กๆ หรืออาจมองเห็นภาพน้องบ้อในอนาคต หากแม่ที่อุปการะเธออยู่ในปัจจุบันเกิดทอดทิ้งไม่ดูแลเธอต่อไป 

แม่อุปการะของน้องบ้อเล่าให้ฟังว่า รับเลี้ยงน้องบ้อมาประมาณ 4 ปีแล้วเพราะไม่มีลูกสาว เมื่อยายซึ่งเป็นคนเร่ร่อนอยู่ที่เกาะลันตา หอบหิ้วน้องบ้อ หลานซึ่งลูกสาวทิ้งไว้ให้ยายเลี้ยง มาขอทำงาน จึงได้ขอรับเลี้ยงน้องบ้อ เนื่องจากตนไม่มีลูกสาว ต่อมายายได้หนีหายสาบสูญไป จนถึงปัจจุบันก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน  ตอนนี้น้องบ้อไม่มีเอกสารอะไรเลย แม่อุปการะเองก็พยายามช่วยกับครูติดต่อขอทำเอกสารที่อำเภอให้ แต่ก็ยังไม่เป็นผล

ปัญหาการเป็นคนไร้รากเหง้าและไม่มีเอกสารพิสูจน์ตน ได้เริ่มต้นก่อตัวพร้อมๆ กับการถูกทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์ของเด็กกำพร้า  และจะค่อยๆ เพิ่มพูนความทุกข์ลำบากในการใช้ชีวิตพร้อมๆ กับความทุกข์ในจิตใจเมื่อเด็กเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  เช่นชีวิตน้องบ้อ ที่ซึมเศร้ากว่าเมื่อปีก่อนที่อยู่ชั้นอนุบาล และจะเติบโตเป็นเช่นชีวิตไข่มุก ที่อ้างว้างเดียวดาย รอคอยคนที่รักจริงสักคนหนึ่งในชีวิต....

คำสำคัญ (Tags): #ชีวิต#สัญชาติ
หมายเลขบันทึก: 36512เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2006 13:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

อ่านแล้วล่ะ แต่เรื่องของคุณศิริชัยล่ะ เธอไม่ได้ไปคุยกับเขาหรือไร

สำหรับคนไร้รัฐเหล่านี้ มิด้านใดของชีวิตที่พวกเขาและเธอสดใส ร่าเริง มีชีวิตชีวาบ้าง หรือแสดงความปีติยินดีบ้างครับ....................................................... ผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า มนุษย์ล้วนต้องมีความคิด ความหวังอะไรสักอย่าง (หรือหลายอย่าง) ที่ทำให้เขามีเจตจำนงที่จะมีชีวิตอยู่ไม่มากก็น้อย สำหรับชีวิตที่ทุกข์สุดจะทุกข์ก็ยังดิ้นรนที่จะอยู่รอด สำหรับคนไร้รัฐเหล่านี้ อะไรคือแรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ของพวกเขาบ้าง อันนี้ น่าค้นหา น่าศึกษา และน่าจะสามารถนำมาปรับใช้ในการสร้างแรงจูงใจในการเคลื่อนไหวทางสังคมและเรื่องอื่นๆได้ครับ

ประเด็นที่คุณยอดดอยเสนอน่าสนใจมากค่ะ เสียดายไม่ได้คุยกันก่อนจะได้มีโอกาสถามเวลาคุยกับพวกเขา 

แต่เท่าที่คุยเบื้องต้น ส่วนใหญ่สะท้อนชีวิตในแง่ความหวาดกลัวมากกว่า อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ระดับจิตสำนึกเลยมั๊งคะ

อย่างความสุขของไข่มุกตอนนี้น่าจะเป็นการที่เขาพบกับสามีคนนี้ (ไม่ใช่หมายถึงมีหลายคนนะคะ) ซึ่งเข้าใจและยอมรับความไม่มีตัวตนของเธอ แม้สามีจะต้องเก็บเธอไว้ที่บ้าน ไม่กล้าพาไปเข้าสังคมเพื่อนฝูง เพราะกลัวจะถูกมองไม่ดี เราฟังก็งงๆ ที่สามีเขาบอกว่าถ้าลูกค้ารู้ว่าเขามีภรรยาไม่มีเอกสารเช่นนี้ ลูกค้าจะไม่ให้ความเชื่อถือ ??

ส่วนไข่มุกเอง ตอนโทรศัพท์คุยกับเพื่อนชายคนนี้ แรกๆ ก็กังวลไม่กล้าบอกว่าตนเองเป็นคนไร้รากเหง้า ไม่มีเอกสาร ญาติพี่น้อง ตอนหลังๆ ก็ "ลองใจ" โดยการบอกความจริง  พอเพื่อนชายรับได้ ก็ไม่เชื่ออีก กลัวจะถูกหลอก !!!

ไว้คราวหน้าดิฉันพบน้องๆ เขา จะลองเฟ้นหาแง่มุมแห่งความสุข ความหวัง ของน้องเขา มาแบ่งปันนะคะ

บังเอิญเหลือเกิน  ที่นุชได้ไปรู้จักกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า  คนไร้รากเหง้า  พบปะมากมายในพื้นที่สึนามิและพึ่งจะมารู้จักตัวตนของ  คนไร้รากเหง้าก็ที่สึนามิ  

ส่วนน้องไข่มุก (จากการบอกเล่าของเธอ)

ด้านหนึ่งของชีวิต...ในวัยเยาว์ที่มีความสดใสร่าเริงนะหรือ...

..........มีแน่นอน  เฉกเช่นเด็กคนอื่นๆทั่วไป ในสังคมโลก

แต่เมื่อเขารู้สึกทุกข์....ก็เมื่อตอนเข้าสู่วัยสภาวะที่รับรู้แล้วว่า.....เขาเป็นคนที่ไม่มีเอกสารแสดงตนเหมือนคนที่อยู่รอบกาย.....

เมื่อเขาเริ่มรู่สึกเช่นนั้น.....ก็ต้องสู้....สู้ในสภาวะทั้งที่มีความสุข และ ความทุกข์ ในการใช้ชีวิตอยู่จนกระทั้งอายุได้  26  ปี  ณ วันนี้

และที่สำคัญ.......ไข่มุกบอกว่า.....

เขาเริ่มเห็นแสงสว่าง .....ในใจ   เริ่มรู้สึกมีความรู้สึกสดใสขึ้นมาในจิตใจ  .........ก็ตอนที่ได้รู้ว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่ง  ที่ใครๆเรียกว่า  อ.แหวว  .....ได้ให้พลังกับการมีชีวิตของเขาอีกครั้งหนึ่ง.......

น้องไข่มุกบอกเราด้วยสีหน้าที่ยิ้มอย่างสดใสค่ะ

เธอจำอาจารย์ได้เมื่อตอนได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมที่โรงแรมเมอร์ลิน พังงา

จริงซินะ แต่ละคนคงจะต้องมีอย่างน้อยมุมเล็กๆ ของหัวใจ เพื่อไว้เป็นพลังให้ชีวิตก้าวต่อไป

และเชื่อว่าคนไร้รัฐไร้สัญชาติหลายคน คงจะได้แสงสว่างที่ส่องผ่านมุมเล็กๆ นี้ จาก อ.แหวว เหมือนน้องไข่มุก แน่ๆ เลย

ณ วันนี้ ได้ทราบข่าวเรื่อราวของ น้องไข่มุก  อีกครั้งหนึ่ง  จากเพื่อนว่า  ....น้องมุกตอนนี้...น่าสงสารมาก  กำลังเขว้ง  เพราะแฟนของเขาไปมีหญิงใหม่  และขอเลิกร้างกับน้องมุก

ที่ผ่านมา 3 ปี  แฟนของมุกเคยให้ความหวังที่ดีสำหรับชีวิตครอบครัวของมุก  ทั้งชีวิตและการงาน ถึงแม้งานที่น้องมุกทำในปัจจุบันจะได้รายได้เพียงวันละเพียง 150 บาท  ทำงานกว่า 15 ชั่วโมง  ซึ่งเป็นงานที่หนัก  น้องมุกบอกเรา  แต่ก็ทำให้น้องมุกมีชีวิตอยู่รอดพอเพียงได้

เพียงแต่.ขาดที่อยู่อาศัย  พักพิงอย่างปลอดภัย สบายใจเท่านั้น  ...... (น้องมุกยังอาสัยอยู่กับแฟนก็จริง  แต่แฟนก็บอกว่า  ให้รีบออกไปจากห้องเช่านี้  และไม่มองหน้ากันต่างคนต่างอยู่)

น้องมุกบอกนุชว่า  ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตน้องมุก 

แสงสว่างของน้องมุก  ที่เคยกระพริบ  อย่างริบหรี่  แต่ ด้วยน้ำเสียงของมุกวันนี้  เขาแถบเกือบมอดไหม้  ทั้งหัวใจ  แต่..ลึกๆน้องมุกไม่ละทิ้งความพยายาม....

สู้ต่อไป  .......

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท