ระยะนี้ ได้พบเจอ คนรู้จักที่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ บางคนเป็นมะเร็ง บางคนเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน ทั้งๆที่อายุไม่มากนัก ประมาณก็ 40-50 ปี เรียกว่าอยู่ในวัยพะว้าพะวังคือยังมีภาระรับผิดชอบในครอบครัว ไหนจะลูก ไหนจะพ่อแม่
มีหลายๆครั้งที่ต้องให้กำลังใจ แต่หลายๆครั้งก็เรียนวิธีให้กำลังใจตัวเองจากพวกท่านเหล่านั้น
มีอยู่รายหนึ่ง รู้สึกท้อแท้กับการรับยาเคมีบำบัดถึงขั้นสิ้นอาลัยตายอยาก ในทำนองว่าทำไมต้องเป็นเธอ ฟังเธอพูดอยู่ร่วมชั่วโมง แล้วก็ยังนึกไม่ออกว่าจะให้กำลังใจอย่างไร เพราะเรื่องการให้คำปรึกษาทางจิตเวชก็ไม่ได้ใช้นานจนเลือนไปหมด เลยตัดสินใจว่าจะพูดแบบที่ตัวเองถนัดดีกว่า ทฤษฎีจิตเวชเก็บไปก่อน เลยเอื้อมมือไปจับแขนเธอแล้วถามว่า "ถ้าเทียบระหว่างก่อนและหลังจากแพทย์บอกว่าเป็นมะเร็งจนถึงผ่าตัดและรับเคมีบำบัดครั้งที่หนึ่งนั้น ครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง"
เธอมองหน้านิ่งครู่หนึ่งแล้วบอกว่า "เออ ..ไม่เคยมีใครถามอย่างนี้มาก่อน ก็รู้สึกนะว่า ลูกช่วยดีมาก งานบ้านที่ไม่เคยทำก็ช่วยทำ สามีก็ดูแลเรื่องอาหารการกิน และก็รู้สึกว่าครอบครัวอบอุ่น สบายใจกว่าเมื่อก่อน"
ถามเธอต่อว่า "แล้วรู้สึกว่าทุกวันนี้ที่ในใจที่สบายนั้นเป็นอย่างไร"
เธอบอกว่า "ก็รู้สึกว่าชีวิตมีค่าทุกๆนาที เพราะว่ามีความสุข แปลกนะ ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน คงเพราะว่ารู้สึกว่าวันของตัวเองมันสั้นนะ เลยพยายามจะให้ความรักกับลูกกับสามี ไปถึงเพื่อนร่วมงาน และก็มานึกว่า ถ้าไม่รู้ว่าเป็นโรคนี้ ก็คงยังประมาทมัวแต่มองจับผิดลูก จับผิดสามี" และเธอก็บอกว่า "คิดๆดูแล้วก็เหมือนเกิดใหม่ คนเดิมมันตายไปตั้งแต่หมอผ่าตัดแล้วล่ะ ต่อไปจะเกิดอะไรก็ไม่กลัวล่ะ"
ก็ชี้ให้เธอเห็นว่า ในความเป็นจริงคนที่เดินเหินเห็นกันนั้น อาจมีไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยไหมและยังประมาทมัวคิดเรื่องทำมาหากิน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งดีๆ อย่างที่เธอทำให้กับลูก สามีและเพื่อนๆร่วมงาน หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องอื่นๆไปก่อนจะแยกย้ายกันไปด้วยอารมณ์ปิติทั้งคู่
ถ้าหากว่าแต่ละวันๆ มีมรณานุสติ มองเห็นว่า ชีวิตนั้นสั้นนัก การพยายามทำสิ่งที่ดีกับคนอื่น ไม่ต้องรอให้เจ็บป่วยร้ายแรงถึงจะมานึกได้ ก็เหมือนกับได้เป็นการเกิดใหม่ในขณะที่ยังมีชีวิต ซึ่งน่าจะถือเป็นรางวัลของชีวิตแก่ทั้งตัวเองและสังคม
ขอบคุณค่ะ คุณบอนและอาจารย์ขจิต
ในความเป็นพยาบาลบางทีเรื่องความเจ็บ ความตายมีให้เห็นมากจนต้องตั้งสติว่า อย่าไปเห็นแล้วชิน เพราะเมื่อไหร่ที่ชินกับสิ่งนั้น ก็จะไม่ไวต่ออารมณ์ความรู้สึกของคนที่เจ็บป่วย เศร้าหมอง น่ะค่ะ
คุณสร้อยค่ะ อ่านบันทึกแล้วอดน้ำตาคลอไม่ได้ ซาบซึ่งในบรรยากาศอย่างนี้ หวนคิดกลับไปสมัยที่เป็นพยาบาลครั้งใด มีความสุขและดีใจที่เราได้ทำหน้าที่ตรงนั้นสุดหัวใจจริงๆ
ขอบคุณบันทึกนี้คะคุณสร้อย หมูมีความสุขมาก
คิดถึงนะค่ะ รักษาสุขภาพด้วยคะสายฝนเริ่มมาบ่อยๆ
สวัสดีค่ะ คุณหมู
สวัสดีครับ
มรณานุสติ เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยจริงๆครับ
และอีกอย่างหนึ่งที่ผมกำลังทำอยู่ คือ
คิดเป็นสุขเป็น ครับ
อ่านบันทึกนี้แล้วทำให้นึกอยากกลับไปเป็นผู้ช่วยพยาบาลที่สวนดอกอีกครับ เคยรู้สึกเหนื่อยปนเบื่อในยามนั้น แต่เมื่อย้อนกลับไป นั่นมีความสวยงามแฝงอยู่มากมาย ครับ
สำหรับต้อมแล้ว ในคราวที่รู้สึกเบิกบานใจก็มักจะคิดว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่มีใครหนีวัฎจักรนี้พ้นไปได้ แต่หากคิดเรื่องนี้ในคราวที่หม่นหมองก็จะรู้สึกไปอีกอย่าง คือ ห่วงใยในตัวบุคคลหรือภารกิจใด ๆ ที่ยังไม่สามารถกระทำให้เสร็จลุลล่วงไปได้ เลยอาจจะทำให้รู้สึกกังวลและไม่มีความสุข ตลอดจนยังไม่สามารถปลงอนิจจังได้
ธุค่า นะเจ้า ^_^
สวัสดีค่ะคุณ paleeyon สงสัยว่าเราจะเคยเจอกันในโรงพยาบาลบ้างหรือเปล่าน่ะค่ะ
เมื่อก่อนตอนยังอยู่วอร์ดในโรงพยาบาลสวนดอกจะคนไข้เยอะคนทำงานน้อย เวรบ่ายดึกมีพยาบาลหนึ่งคน ผู้ช่วยหนึ่งคน พนักงานผู้ช่วยหนึ่งคนต่อคนไข้แปดสิบคน...(อยู่นรีเวชค่ะ)....และส่วนใหญ๋ก็อาการหนักๆทั้งนั้น.... เหนื่อยสุดๆ ...แต่ก็คิดว่าเป็นช่วงที่ดีของชีวิตที่ได้ทำอะไรหลายๆอย่าง ต่างกับชีวิตอาจารย์แบบปัจจุบันมากค่ะ...บางทีก็คิดว่าถ้าเขารับพยาบาลแก่ๆ อีก ก็อยากกลับไปเป็นพยาบาลประจำการอีกเหมือนกันค่ะ
สวัสดีค่ะ น้องต้อมเนปาลี
ปลงเฉพาะชีวิตตัวเองนั้นง่ายนะพี่ว่า แต่ว่าพอคิดต่อถึงคนอยู่มันก็จะอดไม่ได้จะนึกห่วง....อาการคงเป็นอย่างนี้แหล่ะค่ะ...
เอาทุกๆวันไปทีละวันให้ดีตัวเองก็มีความสุข คนอยู่ด้วยก็ไม่ทุกข์มากเพราะเรา ก็น่าจะไปได้เรื่อยๆนะคะ
มะเร็งเป็นโรคที่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ ใจคน ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่พยายามทำบุญเอาไว้เพื่อบุญจะได้ทำให้ไม่เจ็บ ไม่ไข้มากนัก และพยายามเตือนตัวเองเวลาขับรถว่า อย่าขับเร็วเพราะถ้าไม่ตายแต่พิการคงลำบากคนดูแล แต่ก็ยังถูกที่บ้านว่าขับรถเร็วทุกที
สวัสดีค่ะ อาจารย์ wantana
บนท้องถนน...ยากที่จะทำนายเหมือนกันค่ะ....
ถ้าไม่ตายแต่พิการคงลำบากคนดูแล
เป็นข้อเตือนใจที่ดีสำหรับทุกๆคนนะคะ....การไม่อยากให้คนอื่นลำบาก....เป็นวิธีคิดเพื่อผู้อื่นและเพื่อสังคมที่นับวันจะหายากลงไปทุกทีๆ....
ขอบคุณค่ะ