บันทึกนี้ เป็นการนำผลงานการแปลและตีความ (ตามเข้าใจของผู้แปล) จากบทที่ 5 ว่าด้วยเรื่อง การนำ Appreciative Inquiry มาใช้ในการพัฒนาองค์กร (Advances in Appreciative Inquiry as an Organization Development Intervention เขียนโดย Gervase R. Bushe) จากหนังสือ Appreciative Inquiry ที่ อ. วิจารณ์ นำมาแบ่งปันให้สมาชิก สคส. อ่าน แปล และตีความ พร้อมนำเสนอในที่ประชุมประจำสัปดาห์ของ สคส. คนละบท สองบท (ตามแต่ความสามารถ ผู้เขียนรับมาเพียงบทเดียว) และต่อไปนี้ คือ การตีความเรื่อง AI ในบทที่ 5 ค่ะ
บทที่ 5 การนำ Appreciative Inquiry มาใช้ในการพัฒนาองค์กร
ดร. เจอวาส อาร์. บุช
มหาวิทยาลัยไซม่อน เฟรเซอร์
ในปี 1987 Cooperrider และ Srivasva ได้เขียนบทความเรื่อง AI ซึ่งกล่าวถึงความตื่นเต้นและการทดลองนำ AI ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ ไปใช้กับการทำ Action Research
เทคโนโลยีของ AI เป็นพัฒนาการที่แตกต่างกันในการนำมาใช้เป็นวิธีการวิจัยทางสังคม และการใช้ในการพัฒนาองค์กร (OD)
แต่ในบทความนี้ ผู้เขียนจะเน้นไปที่การนำ AI มาใช้ในการพัฒนาองค์กร
ปัจจุบัน AI ยังไม่รับการยอมรับในระดับสากล และมันเป็นเหมือนกับการ “สั่งยา” ให้ก่อนเวลาอันสมควร
ในบทความนี้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงเทคนิคของ AI เบื้องต้นและผลของนวัตกรรม AI บางอย่าง ซึ่งผู้เขียนและผู้ร่วมงาน (คณะ) ได้ทำการทดลองหรือการนำ AI ไปใช้ อย่างไรก็ตาม เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ย่อมมีทฤษฎีสนับสนุนอยู่ด้วย
AI คืออะไร
Cooperrider และ Srivasva ได้กล่าวถึง AI ว่า คือ ทฤษฎีองค์กรและวิธีการเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบสังคม เป็นเครื่องมือที่ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมของ Action Research ในทศวรรษที่ผ่านมา
ในปี 1950 กลุ่มคนที่สร้างสรรค์วิธีการวิจัยต่างเป็นกังวลว่า ผลการปฏิบัติเหล่านี้จะนำไปสู่การพัฒนาทฤษฎีทางสังคมใหม่ ซึ่งหวังว่า Action Research จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม
Action Research เองก็เป็นสิ่งสำคัญของการพัฒนาองค์กร
ในขณะที่ Action Research ก็มีข้อโต้เถียงของวิธีการค้นหาทางวิทยาศาสตร์
ในเอกสารที่เผยแพร่ได้ของ Cooperrider และ Srivasva มีการพูดถึงความไม่มีประโยชน์ของทฤษฎีโดยธรรมเนียมปฏิบัติในการศึกษาวิจัย และยืนยันว่าทั้งวิธีการของ Action Research และการกล่าวโทษทฤษฎีทางด้านองค์กรทางสังคม
มันเป็นปัญหาสำคัญของการใช้ตรรกะเชิงบวกในการทำ Action Research
การปฏิบัติทางสังคมและจิตวิทยาเป็นสิ่งที่มั่นคง, ยั่งยืน, ทนทาน และ “out there”
อย่างไรก็ตาม AI เป็นผลผลิตจากกระบวนทัศน์ของนัก Socio-rationalist
ในขณะที่ข้อสันนิษฐานของตรรกะเชิงบวกเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมมีความแม่นยำอย่างเพียงพอ และถอดแบบเพื่อใช้โดยทั่วไปได้
นัก Socio-rationalist ยืนยันว่า Social Order ไม่นิ่งมีความเป็นพลวัตร “ปรากฏการณ์ทางสังคม” เป็นแนวทางเพื่อให้เข้าใจวิธีการแก้ปัญหา ไม่มีแนวทางที่ชัดเจนตายตัว, ไม่จำกัดเฉพาะจินตภาพของคน : Social Order เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบ โดยผ่านความคิดและการกระทำ
นัก Socio-rationalist โต้เถียงกันเกี่ยวกับทฤษฎีที่พวกเขาใช้กันอยู่, ความเชื่อของพวกเราเกี่ยวกับระบบสังคมมันมีพลังและผลกระทบโดยธรรมชาติของสังคม ซึ่งไม่เฉพาะพวกเราที่เชื่อเช่นนี้ แต่การกระทำจริงในสิ่งที่เชื่อสร้างมันขึ้นมา
การสร้างสรรค์สิ่งใหม่และชุดของทฤษฎี, องค์กรและสังคม เป็นทางที่มีพลังในการช่วยเหลือพวกเขาให้เปลี่ยนแปลงและพัฒนา
โดยสรุป AI เป็นกระบวนการเปลี่ยนระบบสังคม เป็นการมองว่า สิ่งดีๆ มีอยู่มากมาย โดยทำการค้นหาสิ่งดีที่มีอยู่ เป็นเครื่องมือที่ใช้ดึงพลังสร้างสรรค์ของคนออกมา
Cooperrider และ Srivasva ได้กล่าวถึง 4 หลักการของ AI ไว้อย่างชัดเจนว่า มันสามารถสร้างภาพใหม่และดีกว่าเดิม ด้วยการใช้ Appreciation เพื่อช่วยกระตุ้นให้เป็นประโยชน์
กระบวนการพื้นฐานของ AI เริ่มด้วยพื้นฐานของการสังเกต “อะไรคือสิ่งดีหรือของดีที่มีอยู่” (best of what is) เมื่อมองอย่างลึกซึ้งและมันมีตรรกะที่ชัดเจนว่า “อะไรมีอาจจะเป็นหรือมันอาจจะดี” (what might be) หรือมีการยืนยันว่าระบบนั้น ว่า อะไรที่ควรจะเป็น “what should be” และทดลองด้วย อะไรที่จะเป็น “what can be”
นัยสำคัญหนึ่งของการศึกษาวิจัยกระบวนการขององค์กรที่ใช้วิธีการ AI คือ องค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ
(ติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความเห็น