วันที่ ๒๙ มิย. ๔๙ ผมมาอยู่ในท่ามกลางนักการศึกษาที่เชียงใหม่ ในการประชุมวิชาการ "การวิจัยเชิงปฏิบัติการ : วิถีปฏิรูปสู่โรงเรียนแห่งการเรียนรู้" ของโครงการโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ สนับสนุนโดย ศช. (ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ) และคณะศึกษาศาสตร์ มช.
โจทย์ใหญ่คือการทำให้โรงเรียนเป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ โรงเรียนแห่งการเรียนรู้ในสายตาของผมเป็นอย่างไรได้บันทึกไว้แล้วเมื่อวาน ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับบ้านเมืองของเรา และเราต้องช่วยกันทำให้สำเร็จให้ได้ เราในที่นี้หมายถึงคนในวงการศึกษา และทุกคนในสังคมไทย ผมในฐานะคน "ข้างๆ วง" ของวงการศึกษาก็ขอแจมด้วย
ดูจากผลงานที่ผู้จัดการประชุมนำมา ลปรร. ในการประชุมวิชาการ ในเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งมีโครงการวิจัยมานำเสนอถึง ๕๒ เรื่อง โครงการนี้มุ่งส่งเสริมการปฏิรูปสู่โรงเรียนแห่งการเรียนรู้ ผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่น่าชื่นชมมาก
ผมมีความเห็นว่า วิถีปฏิรูปสู่โรงเรียนแห่งการเรียนรู้ น่าจะมีได้ ๒ แนว คือ Research Mode กับ KM Mode
ที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ ใช้แนวทาง Research Mode ผมมีข้อคิดเห็นต่อการดำเนินการ Research Mode ในเชิงการจัดการคือ (๑) น่าจะพิจารณาปรับเป็น Development Mode คือเน้นการพัฒนา หนักกว่าการวิจัย และมีเป้าหมายใหญ่ที่ชัดเจน (๒) มีกระบวนการตั้งโจทย์ใหญ่ ว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่สำคัญต่อการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ และตรวจสอบ "ความไม่รู้" ที่จะต้องเอาชนะให้ได้ เอามาเป็นโจทย์วิจัย ทำให้เกิด "พวง" ย่อยๆ ของโจทย์วิจัย ที่ประกอบกันเข้าเป็น "พวง" ใหญ่ ที่จะขับเคลื่อนสู่โรงเรียนแห่งการเรียนรู้ (๓) มีการจัดการงาน D&r อย่างจริงจัง ทั้งการจัดการต้นน้ำ การจัดการกลางน้ำ และการจัดการปลายน้ำ เรื่องนี้มีรายละเอียดมาก ส่วนหนึ่งอยู่ในหนังสือ "การบริหารงานวิจัย : แนวคิดจากประสบการณ์"
โครงการปฏิรูปสู่โรงเรียนแห่งการเรียนรู้ ควรดำเนินการทั้ง Development Mode และ KM Mode คู่ขนานกันไปพร้อมๆ กัน และจัดการให้ ๒ แนวนี้เสริมแรงหรือสนธิพลังซึ่งกันและกัน
ใน KM Mode การดำเนินการควรเริ่มจาก (1) Dream หรือการวาดภาพฝัน ว่าอยากเห็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้มีสภาพอย่างไร แล้วดำเนินการ (2) Discover หรือ Success Mapping มีการค้นหา "ความสำเร็จเล็กๆ" ตามภาพฝัน ที่มีอยู่แล้ว (3) ดำเนินการ "ต่อภาพ" ขับเคลื่อนไปสู่การบรรลุภาพฝันที่ชัดเจนขึ้น ครบถ้วนขึ้น ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการหมุนเกลียวความรู้เพื่อยกระดับความรู้ เน้นที่ความรู้ปฏิบัติ
ความเห็นที่เสนอนี้เป็นแนวกว้างๆ ไม่ใช่รูปแบบสำเร็จรูป ผู้ดำเนินการต้องนำไปคิดต่อและปรับวิธีการให้เหมาะสมต่อวงการศึกษา ที่สำคัญผมไม่ทราบว่าจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่
วิจารณ์ พานิช
๒๙ มิย. ๔๙
โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์
โอกาสแลกเปลี่ยนที่ยอดเยี่ยมนี้ ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่มีที่อยู่ในการประชุมนี้ ขอวาดภาพฝันร่วมกับทุกหน่วยงานที่มีความฝันที่จะพัฒนาองค์กรให้เป็น LO : Learning Organization แต่เราคงต้อง Dream คือ ร่วมกันฝัน : shared dream = shared vision , one of the five disciplines of Peter Senge's และ Discover คือ ร่วมค้น = team learning ส่วนสิ่งที่ตามมาหากจะทำให้เป็น "Develop" (เหมือนการ develop photo ที่ท่านได้ถ่ายไว้ในกล้องที่ท่านเก็บภาพไว้รึเปล่า.......)หรือ "Draw" ที่เป็นการพัฒนา หรือ วาดภาพที่ฝัน ให้ปรากฎแก่สายตาแก่ทุกคน ซึ่งน่าจะเป็นการกระทำร่วม ขอสนับสนุนให้ทุกขั้นตอนเป็นความสุขที่ทุกคนในองค์กรได้ร่วมสร้างสรรค์
ขอสมัครเป็นแฟน(พันธุ์แท้)ของ Blog นี้ ล่ะกันค่ะ
Soontaree Konthieng
C&I Fac.of Ed.CMU....
เป็นคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในการประชุมนี้ ติดตามความคิดของคุณหมอมานานทั้งจากหนังสือ (ช่วงแรกๆ) มาจนใน weblog เช่นในปัจจุบัน คุณหมอเป็นคนที่จับ-จัด-เจาะ-แจกความรู้ได้ดีมากเลยครับ...ขอบคุณคุณหมอที่เสียสละอุทิศเพื่อผลักดันความฝันที่จะเห็นเมืองไทยให้กลายเป็นสังคมความรู้ให้เป็นจริง...ขอบพระคุณจริงๆครับ....