บทเรียนที่น่าอ่าน...และน่าคิด


นำมาจากเมลล์ส่งต่อมาจากจอย
  1. บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด

    เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือน
    อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง
    ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย
    จนมาถึงคำถามสุดท้าย.. “สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร”
    ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่

    ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง
    เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุกว่า 50
    แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร ?
    ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย

    ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า
    คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่
    "แน่นอน" อาจารย์ตอบ
    "เพราะเมื่อเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับคนมากมาย
    ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่
    แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"

    2. บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน

    คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง
    ยืนอยู่ริมทางหลวงสายบามา ต้านฝนที่ตกหนักอยู่
    รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมากแม้จะเปียกโชก
    เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ
    ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่60
    ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่
    แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขา และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย

    เจ็ดวันหลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขาด้วยความประหลาดใจ
    โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบ มาด้วย

    ใจความว่า:
    "ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น


    ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย
    แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ
    ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่ กำลังจะเสียชีวิต ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี
    ขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"
    ด้วยความจริงใจ
    นางแนท คิง โคล

    3. บทเรียนสำคัญที่สาม – ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ

    ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก
    เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ
    เมื่อพนักงานเสิร์ฟวางแก้วนั้นลงตรงหน้า
    เด็กชายก็ถามว่า "ไอศครีมซันเดย์ ราคาเท่าไหร่ครับ ?"
    "ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสิร์ฟสาวตอบ
    แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋าแล้วก็นับเ หรียญในมือ
    "งั้นไอศกรีมเปล่าๆล่ะครับ ราคาเท่าไหร่?" เด็กชายถามอีก
    ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน
    "สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง
    "ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก
    แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอาไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป
    เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไป

    เมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินกลับมา เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะ
    บนโต๊ะนั้นมีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญ
    และเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างถ้วยไอศครีมเปล่านั้น
    เห็นไหมว่า ที่เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด
    เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสิร์ฟสาวคนนั้น

    4. บทเรียนสำคัญที่สี่ – สิ่งที่กีดขวางทางของเรา

    ในยุคโบราณมีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง
    เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่
    เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง
    เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา
    ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป
    พวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานาที่พระองค์
    ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี
    แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง
    จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา
    เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง
    แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง
    หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น
    ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา
    ก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่
    ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา
    เขียนไว้ว่า "ทองในถุงนั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน"
    ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้
    ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้นให้กับเรา"

    5. บทเรียนสำคัญที่ห้า – ให้เมื่อมันมีค่า

    หลายปีมาแล้ว เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
    ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น
    โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือ
    ต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ
    ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์
    จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา
    หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง
    และถามเด็กชายว่าเขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่
    ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า
    "ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้"
    เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาว
    ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ
    หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป
    เด็กชายมองไปที่หมอ และถามด้วยเสียงสั่นเครือ
    " ผมกำลังจะตายใช่ไหม?"
    ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป
    เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาแก่พี่สาว เพื่อช่วยชีวิตเธอ
    ซึ่งเขาก็ยังตัดสินใจที่จะถ่ายเลือด แม้จะทำให้เขาต้องตายก็ตาม
หมายเลขบันทึก: 36027เขียนเมื่อ 29 มิถุนายน 2006 00:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน 2013 13:24 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

บางทีเวลาเร่งรีบทำให้เราลืมมองคนข้างๆ  ได้อ่านบทความทำให้เราต้องหยุดความคิดแล้วหันมองดูคนข้างๆ  ต้องขอบคุณเจ้าของบล๊อกมากที่นำเรื่องดีๆมาฝาก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท