บันทึกนี้ขออนุญาตเล่าถึงประสบการณ์และคำนิยามของคำว่า
“อาจารย์ที่ปรึกษา”
ในส่วนของการเป็น Advisor ของการทำงานวิจัยในระดับต่าง ๆ ครับ สืบเนื่องมาจากผมได้อ่านบันทึกของคุณอาษา หรือคุณบอนครับ http://gotoknow.org/blog/bonlight/35632 ก็เลยฉุกคิดได้ว่า น่าจะมีวิธีการแก้ไขสำหรับปัญหาเหล่านี้ได้ในอีกทางหนึ่ง
ในฐานะที่ผมเคยเป็นทั้งนักศึกษาและเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาก็ได้เห็นภาพหลาย ๆ อย่างครับ นอกเหนือจากปัญหาที่เกิดจากตัวนักศึกษาแล้ว ยังมีปัญหาที่สำคัญก็คือ ปัญหาจากอาจารย์ที่ปรึกษา (Advisor) ที่บางครั้งลืมหน้าที่ที่แท้จริงของการเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
อาจจะสืบเนื่องมาจากภาษาไทยแปลคำว่า Advisor ว่า อาจารย์ที่ปรึกษา ก็เลยทำให้อาจารย์ที่ควบคุมวิทยานิพนธ์หรืองานวิจัยในระดับต่าง ๆ มีหน้าที่เพียงแค่ปรึกษาเฉย ๆ จนบางครั้งอาจจะลืมหน้าที่ที่จะ “ส่งเสริม”และ “เกื้อหนุน” ที่จะทำให้นักศึกษาทำผลงานวิจัย วิทยานิพนธ์ จนเสร็จเรียบร้อย
ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถสร้างความรู้ให้กับนักศึกษาตามหลักสูตรปริญญาต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ นอกเหนือจากการนั่งฟังการบรรยายในห้อง
เพราะนักวิชาการต่าง ๆ ได้เห็นถึงข้อดีของการทำผลงานวิจัยจึงได้กำหนดหลักสูตรว่า ผู้ใดที่จะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญานั้น จะต้องรู้และทำงานวิจัยได้ ซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ ดุษฎีนิพนธ์ ฯลฯ ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองอย่างมีระบบระเบียบ คนเดียวก็ดี เป็นกลุ่มก็ดี
ซึ่งนักวิชาการท่านก็กำหนดไว้อีกว่า นักศึกษาจะต้องมีคนคอยแนะนำหรือควบคุมหรือชี้แนะหรือปรึกษาที่จะทำให้งานชิ้นนี้สำเร็จอย่างมีประโยชน์กับนักศึกษาและส่วนรวม ดังนั้นเขาจึงกำหนดให้นักศึกษาจะต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างน้อย 1 คน บางแห่งก็ต้อง 3 คน 5 คน โดยหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษานั้นในปัจจุบันพบปัญหาบางข้อที่น่าแก้ไขครับ
ปัญหาที่ผมเคยพบทั้งกับตัวเองและกับเพื่อน ๆ ที่กำลังเรียนอยู่ทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ก็คือ อาจารย์ที่ปรึกษาทำหน้าที่เพียงแค่เป็นผู้สั่งและเป็นผู้ตรวจเท่านั้น
ลืมทำหน้าที่กระตุ้นให้นักศึกษาคิด ไม่ได้กระตุ้นให้นักศึกษาทำ
ทำเพียงแค่สั่งนักศึกษาทำมาตามที่สอนไว้ ทำมาอย่างไรก็ตรวจแค่นั้น อันโน้นผิด อันนี้ถูก ทำมาเมื่อไหร่ก็ตรวจเมื่อนั้น ไม่ทำก็เป็นเรื่องของนักศึกษา มาลงทะเบียนรักษาสภาพกันไปเรื่อย ๆ ถ้าหมดระยะเวลาการเรียน ก็ถือว่าเรียนฟรีไป ทำหน้าที่เพียงแค่ปรึกษาอย่างเดียวครับ มีอะไรก็มาปรึกษา แบบนี้เป็นการปรึกษาแบบเชิงรับ
อาจารย์ที่ปรึกษาน่าจะทำงานเชิงรุก ต้องกระตุ้นนักศึกษา ต้องจัดกระบวนการคิด สำรวจทุนทุก ๆ ด้านของนักศึกษา ทั้งทุนความคิด ทุนเวลา ทุนทรัพยากรต่าง ๆ ให้คำแนะนำและส่งเสริมเขาว่า “เขาต้องทำอย่างไร” ตามทุนที่เขามีอยู่ โดยเฉพาะทุนความรู้และความสนใจของเขาที่อยู่ในกรอบของสาขาวิชาที่กำลังเรียน แต่ไม่ได้บอกเขาทั้งหมดนะครับ แต่ต้องใช้กระบวนการในการบอก วิธีการแนะนำแบบให้เขาคิด ให้กำลังใจเขา ต้องใช้วิธีการทุกวิถีทางให้นักศึกษาได้รับความรู้จากทำงานครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงให้ได้
“อาจารย์ที่ปรึกษามีหน้าที่ทำให้นิสิตนักศึกษามีความรู้”
มีความรู้จากการทำงานตามระเบียบวิธีวิจัยแบบต่าง ๆ และเขาต้องทำด้วยตนเอง โดยมีเราทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนเขา “แบบครู” “แบบแม่ที่รักลูก” ไม่เคี้ยวทุกคำแล้วเขาให้กลืนเฉย ๆ แต่ต้องสอนให้เขารู้จักวิธีปลูกพืช ปลูกข้าว ปลูกวัตถุดิบ เก็บเกี่ยววัตถุดิบ ปรุงอาหาร จัดตกแต่งจาน จนกระทั่งกลืนอาหารเข้าท้อง เขาต้องทำเอง โดยมีเรายืนอยู่เคียงข้างเขาเสมอ สอนเขา สอนให้เขารู้สอนให้เขาทำงาน สอนให้เขาทำเพื่อเกิดปัญญา
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มเติมครับ
เพราะตอนที่ผมเป็นที่ปรึกษาให้กับนักศึกษา แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่นักศึกษาปริญญาตรีงานวิจัยที่ทำก็เป็นเพียงแค่รายวิชาวิชาหนึ่งในการเรียนตามหลักสูตรเท่านั้น มีค่าเพียงแค่ 3 หน่วยกิต แต่ผมก็พยายามให้เวลาและทุ่มเทให้เขาอย่างมากที่สุด ทำทุกวิถีทางที่จะให้เขาได้ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการทำงานตามระเบียบวิธีวิจัยที่กำหนดไว้ เพื่อให้เขาค้นหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ๆ ๆ ทำงานวิจัยให้เสร็จด้วยตัวเขาเอง วันไหนเขาหายไปไม่มาส่งงานตามกำหนดผมก็จะติดตามโทรไปหาว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานอะไรไหม ทำงานไม่ได้เหรอหรือว่าเจ็บป่วยอย่างไร ถ้าทำไม่ได้ทำไม่ได้ตรงไหนบ้างล่ะ ทำได้แค่ไหนเอามาดู ค่อย ๆ ทำ ค่อยเป็นค่อยไป ผิดไม่เป็นไร แต่ขอให้ทำ ไม่ต้องกลัวที่จะทำผิด ไม่ต้องกลัวถูกบ่นถูกว่า ทำผิดหรือถูกได้ความรู้ทั้งนั้น เพราะอาจารย์มีหน้าที่ที่จะต้องทำทุกวิถีทางให้นักศึกษาได้ความรู้อยู่แล้ว
ถ้าเขาทำไม่ได้ ต้องย้อนกลับมาดูตัวเราก่อนว่าเราสอนเขาดีหรือยัง พยายามให้ความรู้กระตุ้นเขาอย่างที่สุดหรือยัง บางคนก็อาจจะว่าเด็กไม่สนใจ เด็กไม่กระตือรือร้นเอง แต่ผมคิดว่า มันอยู่ที่เราครับ ถ้าเด็กไม่สนใจแล้วเราจะทิ้งเขาเหรอ เราน่าจะให้โอกาสได้แสดงถึงความสนใจหรือความกระตือรือร้นถึงแม้ว่าจะมีอยู่น้อยแต่เราก็ต้องให้โอกาสและดึงออกมาใหได้ ถึงต้องลงทุนลงแรงแค่ไหน เราก็จะต้องทำให้นักศึกษาได้ความรู้ให้ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นคำนิยามของอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ในความคิดของผมครับ
หนูโชคดีที่เจออาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.อนุชัย ธีระเรืองไชยศรี ที่ท่านทำหน้าที่ทุกอย่างได้ครบถ้วน ทำให้เด็กผู้หญิงคนนึง...มีความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้น... และกล้าที่จะนำเสนอแนวความคิด กล้าพูด กล้าคิด และกล้าทำ คะ ท่านพยายามทุกวิถีทางและพยายามหาทางออกให้ เพราะหนูเรียนก็ไม่เก่ง ภาษาก็ไม่ดี แต่ท่านพยายามกระตุ้นทุกอย่าง และฟังทุกคำพูดที่เราพยายามจะอธิบาย พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นเพื่อให้เรานำกลับไปคิดต่อยอด...หนูถึงบอกว่าโชคดีจังที่มีผศ.ดร.อนุชัย เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาคะ....
http://gotoknow.org/blog/panarat
"อาจารย์ที่ปรึกษาทำหน้าที่เพียงแค่เป็นผู้สั่งและเป็นผู้ตรวจเท่านั้น ลืมทำหน้าที่กระตุ้นให้นักศึกษาคิด ไม่ได้กระตุ้นให้นักศึกษาทำ ทำเพียงแค่สั่งนักศึกษาทำมาตามที่สอนไว้ ทำมาอย่างไรก็ตรวจแค่นั้น อันโน้นผิด อันนี้ถูก ทำมาเมื่อไหร่ก็ตรวจเมื่อนั้น ไม่ทำก็เป็นเรื่องของนักศึกษา มาลงทะเบียนรักษาสภาพกันไปเรื่อย ๆ ถ้าหมดระยะเวลาการเรียน ก็ถือว่าเรียนฟรีไป ทำหน้าที่เพียงแค่ปรึกษาอย่างเดียวครับ มีอะไรก็มาปรึกษา"
ถ้านักศึกษาได้อาจารย์ที่ทำถึงขั้นนี้ก็ยังนับว่าโชคดีค่ะ ถ้าโชคร้ายกว่านี้คือ ไม่อ่านงานค่ะ และนัดเวลาอาจารย์ไม่ได้ด้วยค่ะ