พี่พยาบาลแห่ง รพ.สาร คาม เตรียมเค้าโครงเรื่องการจัดอัตรากำลังพยาบาล ไปสอบเค้าโครง แต่ปัญหาและอุปสรรค คือ ภาระหน้าที่การงานในแต่ละวัน ที่ต้องอยู่เวรที่ตึก มีประชุมอยู่บ่อยๆ ทำให้มีเวลาอ่านหนังสือน้อย
หรือ แทบไม่มีเวลาที่จะได้อ่านทำความเข้าใจมากนัก
เมื่อถึงเวลาไปสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์ จึงตอบคำถามจากประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านการรับรู้มา แต่ไม่ผ่าน… เพราะคณะกรรมการสอบพิจารณาเรื่องของตัวแปร ขอบเขตการวิจัย และจุดมุ่งหมายแล้ว เห็นว่า มีข้อบกพร่องมากมาย
คณะกรรมการสอบจึงให้คำแนะนำ ให้เปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาที่ควบคุมวิทยานิพนธ์ และให้เปลี่ยนหัวข้อเรื่องใหม่พร้อมกับแนะนำโครงเรื่องใหม่ให้ไปค้นคว้าให้ อย่างเสร็จสรรพ
หัวข้อเรื่องใหม่ที่น่าสนใจ และพี่พยาบาลกลับไปค้นหาข้อมูลเพื่อมาปรึกษากับอาจารย์ เป็นเรื่องของการประเมินผลสื่อสารสนเทศในคลินิกเบาหวาน เพื่อจะดูว่า ข้อมูลข่าวสาร สื่อต่างๆที่เผยแพร่ให้ความรู้กับผู้มารับบริการนั้น มีประสิทธิผลมากน้อยแค่ไหน
อีก 1 สัปดาห์ ต่อมา เมื่อเธอไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาตามวัน เวลาที่ได้นัดหมายไว้ ตั้งแต่เช้า อาจารย์ที่ปรึกษาดันติดประชุมทั้งเช้าและบ่าย จนต้องมาพบอีกในวันถัดไป ก็ติดประชุมอีก หลังจากรอมาอย่างยาวนานก็ได้พบอาจารย์ที่ปรึกษาในช่วงบ่ายหลังเลิกประชุม
ปรึกษาเค้าโครงวิจัยเรื่องใหม่ อาจารย์ไม่เห็นชอบด้วยกับนิสิต แนะนำให้เปลี่ยนหัวข้อเรื่องใหม่อีก
ทำเอาพี่พยาบาลเกิดอาการท้อถอย จนพาลจะเลิกทำ.. ไม่อยากจะเอาแล้ว ปริญญา…
ปัญหาสำคัญคือ
1. พี่พยาบาลต้องอยู่เวรที่ตึกเหมือนปกติ จึงไม่มีเวลาทำความเข้าใจ อ่านเอกสารที่มีอยู่ เพื่อไปปรึกษาหัวข้อวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษาได้
2. อาจารย์ ประเมินความเป็นไปได้ของการทำวิจัยของนิสิตว่า มีโอกาสเสร็จมากน้อยแค่ไหน เมื่อพี่พยาบาลไม่มีเวลาศึกษาเอกสารมาก่อน ทำให้ตอบข้อซักถามของอาจารย์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
3. การ เตรียมเค้าโครงจะใช้เวลานาน พี่พยาบาลต้องหาจังหวะลาพัก เมื่อจะต้องมาเตรียมหัวข้อวิจัยใหม่ ต้องใช้เวลารวบรวมสมาธิ หาเวลาในการสืบค้นเอกสารและเรียบเรียงเนื้อหาอยู่พอสมควร
4. เมื่อเวลาไปปรึกษากับอาจารย์ พี่พยาบาลทำได้เพียงถือเอกสารที่สืบค้นมาแล้วไปเล่ารายละเอียดให้อาจารย์ที่ปรึกษารับทราบ
5. อาจารย์ที่ปรึกษา เป็นอาจารย์ทางด้านสาธารณสุขศาสตร์ แต่หัวข้อวิจัยของพี่พยาบาล เป็นงานทางด้านพยาบาล
แนวทางที่น่าจะแก้ไขสถานการณ์ได้ในตอนนี้
1. เมื่อ พี่พยาบาลอยู่เวรที่ตึก ไม่มีเวลาทำความเข้าใจ ก็จะต้องใช้เวลาว่างที่มีน้อยนิดให้เป็นประโยชน์ มีเพื่อนร่วมรุ่นช่วยกระตุ้น ซักถามประเด็น ให้พี่พยาบาลระบุขอบเขตวิจัย วัตถุประสงค์ที่ต้องการวิจัยออกมาให้ชัดเจน
2. เมื่อ มีความชัดเจนมากขึ้น เอาแนวทาง ประเด็นมาสืบค้นเอกสารเพื่อหาข้อมูลเขียนโครงร่างวิจัยให้เสร็จโดยเร็ว แต่เอกสารในห้องสมุดหาได้น้อย แต่ก็ต้องพยายามค้นให้เต็มที่ จากเอกสารทีมีน้อยนิด เปิดไปที่หน้าเอกสารอ้างอิง หรือบรรณานุกรม แกะรอยสืบค้นหาเอกสารจากเอกสารวิจัยที่มีผู้สืบค้นไว้แล้ว เพราะในเวลาอันสั้น คิดไม่ออกว่า จะใช้คำสืบค้นคำใดบ้างในการหาเอกสารที่ต้องการให้ได้เร็วที่สุด
3. เมื่อ ได้เอกสารในแนวทางที่อยากจะทำเค้าโครงวิจัยออกมา แต่ในความเป็นจริง พี่พยาบาลยังคงไม่มีเวลาที่จะทำความเข้าใจกับเอกสารอยู่ดี ใช้เวลาว่างอันน้อยนิดให้เป็นประโยชน์ เพื่อนที่ช่วยกระตุ้นช่วยเหลือได้ หยิบเอกสารที่สืบค้นมาได้ มาเปิดดูตามหัวข้อที่จะต้องเขียนในโครงร่างวิจัย
ตั้งแต่บทนำ วัตถุประสงค์ ขอบเขต เรื่อยไปจนถึงวิธีดำเนินการวิจัย… อยากจะทำวิจัยในลักษณะนี้หรือไม่ หรือเพิ่มเติมจากในเอกสารนี้.
เมื่อพี่พยาบาลตัดสินใจและพูดออกมา ก็ทำการจดบันทึกทันที หากให้เจ้าตัวคิดและเขียนออกมาจะใช้เวลานาน แต่เพื่อนที่ช่วยกระตุ้นจะทำให้เกิดกรรวบรวมประเด็นได้ในเวลาที่น้อยลง
“เอาแบบนี้ใช่ไหม ข้อ 1. …. แบบนี้นะ หรือว่าเพิ่มตรงไหนอีก”
นั่งคุยไป เขียนไปแบบสดๆ ให้เห็นโครงร่างออกมา จะมองเห็นปริมาณงานที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกำลังใจให้สู้ต่อ เขียนจนได้หัวข้อครบสมบูรณ์
4. เมื่อนำเค้า โครงฉบับร่างที่เขียนขึ้น มาพิมพ์ หรืออ่านอีกครั้ง พี่พยาบาลจะสามารถเพิ่มเติม หรือลดประเด็นที่ต้องการเข้าไปได้ทันที หรือแม้ว่าจะไม่มีเวลาที่จะหยิบมาอ่านอีกครั้ง ก็สามารถนำเค้าโครงที่เป็นลายลักษณ์อักษรไปปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาได้
5. เมื่อมีเอกสารเค้าโครงวิจัยที่จะ ทำ จะทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาได้ศึกษาประเด็นที่รวบรวมมา จะแตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา ที่ไม่มีเค้าโครงที่จะดำเนินการวิจัยมาให้อาจารย์ได้อ่านเลย ทำให้อาจารย์เสนอแนะประเด็นใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะประเมินว่านิสิตคงจะไม่เข้าใจในประเด็นเดิม หรือประเมินว่า หัวข้อวิจัยเดิม นิสิตไม่น่าจะทำได้
ดูแล้วสถานการณ์เหล่านี้ นิสิตนักศึกษาพยาบาลหลายท่าน คงไม่ต้องมาหาทางแก้ไขในลักษณะนี้มากนัก หรือบางท่านอาจจะยิ่งกว่านี้ นายบอนจึงหยิบยกเรื่องราวในอีกด้านหนึ่งของการทำวิจัยมาบันทึกไว้บ้างครับ