เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2549 ได้ไปร่วมเป็นวิทยากรกระบวนการเพื่อให้
ชาวบ้านจากทุกอำเภอในจังหวัดสิงห์บุรี ประมาณ 100 คน มาปรึกษาหารือและร่วมกันคิดวิเคราะห์และตัดสินเลือกทางเลือกที่เหมาะสมให้กับตนเองในการทำกิจกรรมเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าว
โดยเริ่มจากการนำเสนอทางเลือกต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ให้กับชาวบ้านตัดสินใจ หลังจากนั้นก็แบ่งกลุ่มชาวบ้านตามอำเภอออกเป็น 6 กลุ่ม 6 อำเภอ ในขณะที่ชาวบ้านแต่ละกลุ่มปฏิบัติงานเพื่อตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เหมาะสมให้กับตนเองนั้น ดิฉันก็ได้ไปเลียบ ๆ เคียง ๆ เพื่อสังเกตพฤติกรรมตามกลุ่มย่อยต่าง ๆ จึงทำให้เห็นวิธีการคิดและวิเคราะห์ข้อมูลของชาวบ้าน โดยเริ่มจาก ขั้นที่ 1 รวบรวมกิจกรรม ที่แต่ละคนทำและเป็นการเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าวหรือประสบการณ์ที่ปฏิบัตินั้นมีอะไร? และมีว่าอย่างไรบ้าง? ซึ่งบุคคลนั้นจะต้องแถลงข้อมูลหรือเล่าให้กลุ่มฟัง โดยจะมีการบันทึกตามข้อมูลที่แถลงไว้ด้วย ขั้นที่ 2 เมื่อกลุ่มรวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว ก็จะ เริ่มต้นการวิเคราะห์ โดยร่วมกันค้นหา “ข้อดี และข้อเสีย” ของแต่ละกิจกรรมที่ทำ และบางกลุ่มก็จะค้นหาข้อดีและข้อเสียแบบองค์รวมขั้นที่ 3 ร่วมกันแสดงความคิดเห็น โดยปรึกษาหารือถึงเหตุและผล ซึ่งช่วงนี้เสียงของแต่ละกลุ่มย่อยจะค่อนข้างดังมาก บรรยากาศเหมือนกำลังมีการ
โต้คารมระหว่างกัน และพยายามหักล้างข้อดีและข้อเสีย จึงทำให้เห็น “วิธีการคิดของชาวบ้านที่ละเอียดรอบคอบ” เพื่อตัดสินใจ ขั้นที่ 4 ตัดสินใจและยุติการแลกเปลี่ยน เมื่อแต่ละกลุ่มปรึกษาหารือและแถลงเหตุผลกันสักระยะหนึ่ง ก็เห็นบางกลุ่มเริ่มหาข้อยุติในการตัดสินใจเลือกกิจกรรมที่จะปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งวิธีการยกมือโหวต การลงคะแนนเสียง และการตัดสินใจรวม หลังจากนั้น จึงสรุปเป็นกิจกรรมที่กลุ่มเลือกเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตข้าว เช่น เพาะพันธุ์ข้าว (ไว้ขายหรือไว้ปลูกเอง) และแปรรูปเป็นข้าวสาร เป็นต้น ขั้นที่ 5 จัดทำแนวทางการปฏิบัติงาน เมื่อแต่ละกลุ่มได้กิจกรรมที่จะปฏิบัติเป็นของตนเองแล้วนั้น ก็หันกลับมาร่วมกันคิดต่ออีกว่า “ถ้าเราจะทำให้กิจกรรมนั้นบรรลุผล.....เรามีแนวทางการทำงานอะไรบ้าง?” โดยบางกลุ่มก็คิดและเขียนออกมาเป็นวิธีการดำเนินงาน บางกลุ่มก็เขียนออกมาเป็นประเด็นงานที่ต้องทำต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การคิดที่ว่า “ถ้าทำเช่นนี้แล้วจะทำให้กิจกรรมที่เลือกประสบผลสำเร็จได้”ในขณะที่ดิฉันเก็บประเด็นข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ โดยใช้วิธีการ “แอบฟัง.....ชาวบ้านคิด” ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “เราคงจะหยุดการพัฒนาตนเองไม่ได้แล้ว...และเราคงจะต้องเพิ่มเติมการเรียนรู้ให้กับตนเองตลอดเวลา” เพราะว่าสิ่งที่
ชาวบ้านคิด สิ่งที่ชาวบ้านทำ และสิ่งที่ชาวบ้านเลือกตัดสินใจนั้น ชาวบ้านปฏิบัติภายใต้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์การประกอบอาชีพของตนเองที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ชาวบ้านยังพร้อมที่จะรับรู้และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และกล้าที่จะทดลองทำ แล้วเราซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ “มีอะไรบ้าง? ที่จะไปแลกเปลี่ยนกับชุมชน” โดยเฉพาะองค์ความรู้ที่จะนำไปใช้ในการจัดกระบวนการเพื่อพูดคุยกับชาวบ้าน “เราจะใช้วิธีการและเทคนิคไหนดี?” ถึงจะคุยกันได้รู้เรื่อง และเป็นนักส่งเสริมการเกษตรได้อย่างสง่าผ่าเผย ยืนคู่กับชุมชนได้อย่างมีคุณค่าและถาวรทั้งนี้ “การแอบฟัง และแอบดูชาวบ้านคิดงาน” เป็นเทคนิคที่นำมาใช้สังเกตพฤติกรรมการทำงานโดยไม่ให้บุคคลเป้าหมายรู้ตัว ซึ่งจะทำให้เห็นพฤติกรรมการมีส่วนร่วม การแลกเปลี่ยน และบรรยากาศ ที่ชัดเจน โดยเฉพาะทำให้เห็นเนื้อหาสาระและกระบวนการได้มาซึ่งข้อสรุปของประเด็นสำคัญ ๆ และ “คำพูดเด็ด ๆ” หรือ “ประโยคมันส์ ๆ” ซึ่งเราจะต้องติดตามอย่ากระพริบตา และ
หูต้องฟังตลอดเวลา เพราะนี่คือ การจับประเด็นเพื่อนำมาใช้เชื่อมโยงข้อมูลสู่การกระตุ้นจิตสำนึกและการสรุปประเด็นได้ชัดเจนขึ้น. “เริ่มต้นเปิดเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้นั้น.....ยากยิ่งนัก.”“แต่การจบและปิดเวทีการเรียนรู้นั้น.....ยากยิ่งกว่า.”
ศิริวรรณ หวังดี
ไม่มีความเห็น