"My Secret Note : the Meeting on 22th June 2006"


แต่วันนั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง...ข้าพเจ้ากลับไม่ทราบขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร พูดอะไร เพื่อเสนอโครงการที่ตัวเองนั่งทำและแก้ไข ซึ่งก็ปรึกษากับอาจารย์แหววอยู่จนดึกดื่นคืนก่อนวันที่จะมาประชุม

ตัดสินใจอยู่นานว่าจะบันทึกดีรึเปล่า..แล้วจะบันทึกว่าอย่างไรดี..เกี่ยวกับการประชุมระหว่างอาจารย์แหวว บรรดาลูกศิษย์ ผู้แทนจาก UNICEF และผู้แทนจาก UNHCR เมื่อวันพฤหัสที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา.. (เฮ้อ..สุดท้ายก็เขียนจนได้ตามที่อาจารย์แหววอยากอ่าน)

 ก่อนอื่นต้องขอท้าวความว่า..สิ่งที่อาจารย์แหววคิดแล้วก็อยากจะให้เกิดขึ้น คือ การทำงานอย่างเป็นระบบของคน 3 คน อันได้แก่ เตือน, พี่ชล และพี่ด๋าว เพื่อแก้ไขปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ

โดยเริ่มต้นจาก.. "เตือน" ซึ่งจะรับผิดชอบ "ห้องเรียนกฎหมายสำหรับคนไร้รัฐไร้สัญชาติ" ทำหน้าที่เป็นครูใหญ่ คอยจัดห้องเรียนสร้างองค์ความรู้ให้เกิดแก่คนไร้รัฐไร้สัญชาติ ซึ่งใครก็ตามที่มีปัญหาและมายื่นคำร้องไว้ ก็จะถูกจับมาอยู่ในห้องเรียนให้หมด นอกจากเจ้าของปัญหาแล้ว ยังมีภาคส่วนต่างๆ ของสังคม ที่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาให้คนเหล่านี้ได้ เราก็จะเชิญพวกเขาเข้ามาเช่นกัน เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติ และร่วมกันทำให้การแก้ไขปัญหานี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งที่ห้องเรียนจะสร้างให้เกิดแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าของปัญหาและครอบครัว คือ องค์ความรู้ทางด้านกฎหมาย และ ความกล้าหาญในการนำองค์ความรู้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหา

ต่อมา..เมื่อคนไร้รัฐไร้สัญชาติเหล่านี้เริ่มมีภูมิคุ้มกันจากองค์ความรู้ที่ได้ในห้องเรียนกฎหมายดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว เมื่อเริ่มจากภาคทฤษฎี ต่อมาก็เป็นการเข้าสู่ภาคปฏิบัติจริง ซึ่งก็คือ "คลีนิกกฎหมาย" ของ "พี่ชล" เป็นขั้นตอนของการรักษาโรคความไร้รัฐไร้สัญชาติ เพื่อการรักษาโรคหรือการแก้ไขปัญหา ต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง พี่ชลจะเป็นผู้ที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยเดินไปเป็นเพื่อน เป็น supporter ในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่างๆ เช่น การยื่นเรื่องที่อำเภอ, การยื่นคำร้องต่างๆ เป็นต้น

และในขั้นตอนสุดท้าย..เป็นไม้ตาย.. หากทั้งห้องเรียน ทั้งคลีนิก ไม่สามารถช่วยรักษาอาการไร้รัฐไร้สัญชาติได้ เนื่องจากโรคแทรกซ้อนของการทำงานบกพร่องหรือการละเมิดของหน่วยงานของรัฐแล้ว "พี่ด๋าว" ก็จะออกโรงในฐานะของ "สำนักงานกฎหมาย" เพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีให้แก่คนไร้รัฐไร้สัญชาติดังกล่าว

ความคิดที่จะเห็นภาพการทำงานอย่างเป็นระบบของคน 3 คน ของอาจารย์แหววนั้น.. ข้าพเจ้าชื่นชมและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อมั่นเหลือเกินว่า..คนอื่นๆ (โดยเฉพาะพี่ชล, พี่ด๋าว) ก็คงจะคิดเช่นเดียวกัน

ในการประชุมที่เกิดขึ้น..จุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อเสนอ idea นี้ให้แก่ผู้แทนจาก UNICEF แต่วันนั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง...ข้าพเจ้ากลับไม่ทราบขึ้นมาดื้อๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร พูดอะไร เพื่อเสนอโครงการที่ตัวเองนั่งทำและแก้ไข ซึ่งก็ปรึกษากับอาจารย์แหววอยู่จนดึกดื่นคืนก่อนวันที่จะมาประชุม ทั้งๆ ที่เช้าวันนั้นข้าพเจ้าเองก็ตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ แถมตื่นเช้าผิดปกติ แม้ว่าจะได้นอนไปนิดเดียวก็ตาม ในใจทราบดีว่า..วันนี้ (วันที่ประชุม) สำคัญกับข้าพเจ้ามาก โครงการที่อยู่ในมือคือสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะทำ เป็นโคงการชิ้นแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าจะต้องอยู่ในฐานะ "ผู้รับผิดชอบโครงการ" และวันนี้ข้าพเจ้าก็กำลังจะเสนอชิ้นงานนี้ที่ข้าพเจ้าภูมิใจให้ UNICEF

แต่ผลปรากฏว่า..ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พูดหรือเสนอดังที่ตนเองเคยคิดและวาดหวังไว้เลย เพราะเมื่อเข้ามาในที่ประชุมแล้ว สภาพการณ์ก็คือ..ตัวเองเป็นเด็กที่สุดในนั้น ประสบการณ์ก็น้อย นอกจากนี้ก็ไม่ได้จบกฎหมายมาอีก ความรู้กฎหมายในเรื่องนี้ก็ต้องเรียกว่าแค่หางอึ่ง ถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แต่นี่ไม่ได้หมายความถึงการท้อถอย เพียงแค่ไม่กล้าเสนอหน้าเสนอความคิดอะไรในตอนนั้น..

ข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิมากอยู่ในวันนั้น..

วันนั้น..ข้าพเจ้ารู้สึกแย่ๆ อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่มันเผอิญมันมีเรื่องอื่นๆ เข้ามาอยู่ในหัวเยอะแยะมากมาย สติเลยหลุดๆ ทำอะไรไม่ค่อยถูก จึงโทรไปขอคำปรึกษาจากพี่ต้อง ทำให้ข้าพเจ้าสงบลงมาก และเราก็จบบทสนทนาด้วยข้อคิดมากมายที่ข้าพเจ้าได้รับและยังจดจำอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม..เหตุการณ์ในวันนั้นเป็น bad practice ที่จะนำมาใช้เพื่อสอนและเตือนสติตัวเองอยู่ตลอด ว่า..ถึงเวลาที่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว จะให้อาจารย์เป็นคอยช่วยอยู่ตลอดก็คงไม่ไหว สิ่งไหนที่ต้องทำก็คงต้องทำเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม

สุดท้าย..เตือนขอขอบคุณความรัก ความห่วงใย และความหวังดี จากอาจารย์แหววและพี่ต้องด้วยค่ะ

 

คำสำคัญ (Tags): #relaxed
หมายเลขบันทึก: 35468เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2006 03:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

อย่างที่เคยบอก แม้ว่า เป็น bad things ที่เราทำ

ก็จะกลายเป็น good things หากเราเรียนรู้

ฮิฮิ

เป็นเรื่องปกติมาก กลับจากเยงรายคิดว่าภาพในการทำโครงการของเตือนตัดขึ้นอีกมากนะ พอมีข้อมูลและภาพในหัวมากขึ้น ก็จะมีรู้จักการพูดเองแหละ

แม้จะเห็นแสงสว่างแห่งความฝันอยู่ตรงหน้า แต่อย่าลืมว่า ชีวิตจริงก็จำเป็นต้องก้าวเดินที่ละก้าวย่าง อย่างมั่นคง อย่าง "เต็มกำลัง" ที่เรามีอยู่ และเราเองเท่านั้น ที่รู้กำลังและความฝันของเรา

เป็นกำลังใจให้ค่อยๆ ก้าวเดินบนหนทางเรียนรู้ ไปสู่ฝันจ้ะ

ขอบคุณทุกคนนะคะ..ทั้งพี่ต้อง พี่โก๋ และก็อาจารย์แหวว

หนูเองก็มี "ความอยาก" มากมายเหลือเกิน อยากทำนู้น อยากทำนี่ อยากช่วยคนนั้นคนนี้ แต่ก็ยังระลึกถึงคำสอนของพี่ต้องอยู่ตลอด

ตอนนี้หนูเหมือนเป็นเด็กที่กำลังหัดเดิน จะให้วิ่งเลย ก็คงต้องหกล้มบ่อยแน่ๆ

จะขอเดินให้เชี่ยวชาญก่อน แล้วต่อไปจะไปวิ่งแข่งโอลิมปิคเลย

เป็นกำลังใจให้คุณเตือนฮับ

ที่เสียสละเพื่อช่วยเหลือพวกเรา

อิอิ

ขอบใจจ๊ะเม่ย..

รีบๆ มาเข้าเรียนซะนะ.. ห้องเรียนต้อนรับเม่ยเสมอจ๊ะ

น่าอย่างน้อยก็ได้เริ่มทำแล้ว เริ่มดำเนินการแล้ว

ไม่เหมือนเราอะนะ ยังไม่ได้เริ่มเลย (สารภาพผิด) โดยมีข้ออ้างเรื่องงานต่าง ๆ นานาไป

มาเป็นกำลังใจให้เตือนนะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท