ผมมองแนวโน้มจากร่าง พรบ. มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. .... ตามที่อยู่ใน เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งดูได้ที่นี่ http://www.op.mahidol.ac.th/orla/fp/fp_file/pageprb_draff.htm แต่ผมสงสัยว่า ฉบับที่มีการตรวจแก้โดยกรรมาธิการแล้วค้างเติ่งอยู่คงจะมีแก้ไขผิดไปจากนี้บ้าง เอาเป็นว่าผมขอใช้ฉบับในเว็บเป็นตัวบอกเจตนารมณ์ของการมีสภามหาวิทยาลัยใน ร่าง พรบ. ใหม่ก็แล้วกัน
จะเห็นว่า องค์คณะบุคคลที่กำกับและขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยในอนาคต มี ๓ องค์คณะ คือ สภามหาวิทยาลัย สภาวิชาการ และสภาคณาจารย์ เราคงต้องยอมรับนะครับว่า มหาวิทยาลัยเป็นองค์กรที่พนักงานขององค์กรมีสิทธิ์มีเสียงสูงกว่าองค์กรอื่นๆ คือเราใช้หลักแบ่งปันอำนาจ ไม่ใช่รวบอำนาจ ที่เรียกว่าระบบ collegial ตรงนี้คงต้องระวังว่าไม่ใช่ระบบคานอำนาจ คือไม่ใช่คอยคานคอยทานกัน แต่เป็นระบบช่วยกันคิดช่วยกันทำ หลักสำคัญคือหลัก สนธิพลัง (synergy)
ดูตามภารกิจที่ระบุไว้ในร่าง พรบ. ซึ่งเป็น พรบ. ของมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่ใช่อยู่ใต้ระบบราชการ ที่เรียกว่าเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สภามหาวิทยาลัยมีหน้าที่มากมาย แต่ผมมองว่าจริงๆ แล้วหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือกำกับให้มหาวิทยาลัยมีความเข้มแข็งทางวิชาการ และทำหน้าที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างจริงจัง นี่คือหลักใหญ่ที่สุด เรื่องอื่นๆ เป็นรายละเอียด
สรุปว่า แนวโน้มในอนาคต สภามหาวิทยาลัย จะทำหน้าที่เป็น องค์กรรวมหัวใจ หรือองค์กรสูงสุดของแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นปลอมๆ (มี สกอ. คอยสั่งการอยู่เบื้องหลัง) อย่างในปัจจุบัน สภามหาวิทยาลัยในรูปแบบแบ่งปันอำนาจ ต้องรวมพลังกันกำกับขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้เดินตรงทาง (แต่ละมหาวิทยาลัยมีทางของตัวเอง ไม่ลอกเลียนกัน) และสร้างผลสัมฤทธิ์ต่อสังคมคุ้มค่าต่อทรัพยากรที่สังคมสนับสนุน
วิจารณ์ พานิช
๒๔ มิย. ๔๙
วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง