พ่อเล่าให้ฟังเรื่องของผม


พ่อบอกว่าก็ถูกของย่า เพราะพ่อทำให้ย่าผิดหวังที่จะได้เป็นเจ้าคนนายคน (ค่านิยมสมัยนั้น จนถึงทุกวันนี้) มาถึงผม พี่ และน้อง ๆ ค่านิยมนี้ก็ยังถูกใส่หัวอยู่ประจำจากทั้งพ่อและแม่ ก็ได้ 2 คนล๊ะที่ดูจะสบายใจ คือผมและน้องชาย แต่คนที่พอจะมีเงินให้พวกผมได้หยิบยืมหรือขอตอนขัดสน กลับเป็นพี่สาวที่ทำงานเอกชน หาได้เป็นคนที่เป็นเจ้าคนนายคนไม่ (ฮา...)

     พ่อบอกว่าตอนเกิดมาเป็นลูกคนที่ 2 ถัดจากพี่สาว 3 ปี คิดว่าจะมีแค่นี้พอ เลยให้ชื่อที่แปลว่าน้องชาย เลี้ยงไปเลี้ยงมาท่าจะแย่ ป่วยบ่อย พุงโรก้นปอดเข้าทุกวัน (ตอนนี้ลงพุงแทน) ถัดมาอีก 3 ปีมีน้องชายอีกคน ถัดมาอีก 5 ปี ก็มีน้องสาวอีกคน (คนนี้พ่อไม่ได้อ้างว่าเพราะน้องผมไม่แข็งแรง) ชื่อผมเริ่มมีปัญหาแม่บอกว่าน่าจะเปลี่ยน อีกทั้งไม่ค่อยถูกกับวันเกิดด้วย (ชื่อไม่ควรมีสระ) น้องก็คลอดมาแล้ว แต่ทิฐิพ่อสูงกว่า ก็อ้างไปเรื่อยโตขึ้นแล้วค่อยเปลี่ยนเอาเอง (จนแล้วจนรอด 35 ปี ก็ยังชื่อเดิมนี่แหละ) ความที่ขี้โรคทำให้ผมถูกเอาอกเอาใจจากแม่ จึงติดแม่ (ขนาดโตแล้วไปเรียนหนังสืออาศัยอยู่วัดต่ำ (คูหาสวรรค์) เสาร์-อาทิตย์ กลับบ้านก็ต้องขอนอนกับแม่ คุยกันจนดึกดื่น พ่อมักจะถามออกมาจากอีกห้องว่าคุยอะไรกันนักหนา บ่อยครั้ง แล้วเราถึงจะได้นอน) สิ่งหนึ่งที่พ่อมักจะบอกเสมอในตอนนั้นคืออย่าดื้อ อย่าเกเร ด้วยเพราะบ้านเราไม่ค่อยมีสมบัติอะไร อาศัยค้าขายกินไปวัน ๆ เงินก็มีให้เรียนได้เท่านั้น จะมากไปกว่านั้นไม่ได้

     พ่อบอกว่าพ่อมีโอกาสกว่าลูกคนอื่น ๆ ทั้งหมดของบ้านพ่อเอง ได้เรียนหนังสือคนเดียวจากทั้งหมด 7 คน จบถึง ม.6 สมัยนั้น (เดินเท้ารวมวันละ 23 ก.ม.เพื่อมาเรียนและกลับ อันนี้ผมขับรถวัดเอาหลังจากที่ได้ฟังพ่อเล่าแล้ว) เพื่อน ๆ ก็ไปเป็นครู ตำรวจ หมออนามัย นายช่าง ฯลฯ แต่พ่อกลับเลือกที่จะไปช่วยแม่ (แฟน) ทำนา ด้วยเพราะแม่เป็นลูกกำพร้า ตาเสียไปตั้งแต่จำความไม่ได้ ยายก็แก่มากแล้ว แม่คนสุดท้อง คนอื่น ๆ ก็ไปเป็นเริน (ออกเรือน) หมดแล้ว และนี่ก็เป็นที่มาของสาเหตุที่พ่อไม่ได้อะไรเลยนอกจากที่ดินผืนที่อาศัยอยู่ทุกวันจากย่า บ้านและที่ดินนี้ก็เป็นส่วนที่ย่าซื้อให้และปลูกหนำ (ขนำ) เพื่อให้พ่อได้อยู่เรียนหนังสือช่วงดูฝน (ฤดูฝน) พ่อบอกว่าก็ถูกของย่า เพราะพ่อทำให้ย่าผิดหวังที่จะได้เป็นเจ้าคนนายคน (ค่านิยมสมัยนั้น จนถึงทุกวันนี้) มาถึงผม พี่ และน้อง ๆ ค่านิยมนี้ก็ยังถูกใส่หัวอยู่ประจำจากทั้งพ่อและแม่ ก็ได้ 2 คนล๊ะที่ดูจะสบายใจ คือผมและน้องชาย แต่คนที่พอจะมีเงินให้พวกผมได้หยิบยืมหรือขอตอนขัดสน กลับเป็นพี่สาวที่ทำงานเอกชน หาได้เป็นคนที่เป็นเจ้าคนนายคนไม่ (ฮา...) (สำหรับผมไม่คิดว่าเป็นเจ้าคนนายคน กลับคิดว่าเป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากกว่า และเป็นความรู้สึกที่คิดแล้วมีกำลังใจจริง ๆ ยิ่งได้เห็นรูปที่พระองค์ทรงงานแล้ว หายเหนื่อยทุกที นึกว่าเราเหนือยน้อยกว่าเยอะเลย)

     ความที่เป็นเด็กขี้โรค ตัวผมตามคำบอกเล่าจะเต็มไปด้วยเครื่องราง พระ ของขลัง ไม่ว่าจะเป็นกระดูกไก่แขวนคอแก้เจ็บฟัน (เศษไม้อะไรจำไม่ได้พ่อเคยบอกแล้ว) ผูกแขวนที่ข้อมือ ด้ายมงคล ผูกสะเอว เลี้ยงยาก เวลาไข้ ละเมอ เพ้อตลอด (ตอนนี้ไม่ไข้ก็เพ้อ...เจ้อ) ผมถูกส่งให้ไปอยู่บ้านพ่อเกลอ (พ่อจวบ) ด้วยความเชื่อว่า ผมกับพ่อเกลอถูกกัน (ผมอยู่ด้วยและไม่เจ็บไม่ไข้) ซึ่งก็จริง เป็นปี ๆ ที่ไปอยู่บ้านพ่อเกลอผมอ้วนท้วนสมบูรณ์ เกลอของพ่อมีหลายคน แต่ผมไปอยู่ด้วยมีคนเดียว และทุกวันนี้ผมก็ยังต้องไปเยี่ยม ไปหาเสมือนหนึ่งพ่อผมเอง

บันทึกวันที่ 7 กันยายน 2548

หมายเลขบันทึก: 3537เขียนเมื่อ 7 กันยายน 2005 02:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:27 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท