เกือบอาทิตย์ที่ได้ลงพื้นที่จังหวัดระนอง เพื่อสำรวจชุมชนและสัมภาษณ์พี่น้องไทยพลัดถิ่นบางคน ที่จะเลือกเป็นตัวแทนนำเสนอปัญหาศักดิ์ศรี สิทธิและสถานะบุคคล ในงานวิจัยครั้งนี้
สิ่งหนึ่งที่เด่นชัด และมีความแตกต่างมาก หากเทียบกับประสบการณ์ทำงานด้านสถานะบุคคลกับพี่น้องชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ก็คือ ความสำนึกในความเป็นคนไทยที่ไม่ยึดติดกับเวลาและพื้นที่
แม้พี่น้องชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงหลายต่อหลายคน ที่เดินทางเข้ามาอาศัยในประเทศไทยนับสิบๆ ปีแล้ว แต่เมื่อสอบถามพูดคุย อาจเพราะต้องการสัญชาติไทยตามกฎหมาย ส่วนใหญ่จึงมักพยายามยืนยันหนักแน่นว่า “เกิดที่นี่ บนแผ่นดินไทยนี้” หลายคนยอมที่จะบอกว่าตนไร้รากเหง้า พ่อแม่ตายหมดแล้ว จะมีที่กล้าพูดความจริงก็เมื่อรู้จักเป็นการส่วนตัว
ผิดกับพี่น้องไทยพลัดถิ่นชายแดนภาคใต้ที่เพิ่งได้มาพูดคุยกันไม่ถึงสัปดาห์นี้ ที่แม้จะกล้าบอกเล่าว่าพวกเขาและเธอเพิ่งเข้ามาจากประเทศพม่า มาอาศัยกับพี่น้องในฝั่งไทย แต่ก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่กลัว เพราะพวกเราเป็นคนไทย บรรพบุรุษเราอยู่ที่นี่ เราไม่ใช่คนพม่า หลายคนที่มีสัญชาติไทย ก็กล้าที่จะบอกเล่าว่า ลูกของตนไปเกิดที่ฝั่งพม่า
สิ่งเหล่านี้ สะท้อนศักดิ์ศรีความเป็นคน ที่ยอมรับประวัติศาสตร์และรากเหง้าของตนเองอย่างภาคภูมิใจ และน่าจะมีคุณค่ากว่า สัญชาติไทยในแผ่นกระดาษ !!
ขอบคุณคำแนะนำของคุณยอดดอยมากค่ะ
ดิฉันเองก็กำลังเป็นห่วงประเด็นที่คุณเตือนอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะดาบอีกคมที่ดิฉันมองว่ามันกำลังหันไปหาชาวบ้านกลุ่มนี้ ที่ถูกกระตุ้นให้ชูประวัติศาสตร์ของตนแบบปฏิเสธกฎหมาย กลัวว่ามันกำลังไปสู่ทางตัน หรือไม่ก็ให้ชาวบ้านต้องรอคอยการ "คืนสัญชาติไทย" ตามที่พวกเขาเรียกร้อง โดยไม่รู้ว่าเมื่อไร??
พยายามเรียนรู้งานสร้างความเข้มแข็งให้ชาวบ้านของเอ็นจีโอ โดยการให้ชาวบ้านรวมตัวเป็นเครือข่ายเพื่อเรียกร้องในสิ่งเดียวกันอย่างมีพลัง
แต่ขณะเดียวกันก็ได้มีโอกาสคุยกับชาวบ้านบางคน ที่เป็นห่วงอนาคตของลูกหลาน แต่ไม่กล้าเลือกทางแก้ปัญหาให้ตัวเองที่ต่างไปจากข้อเรียกร้องของเครือข่าย ทั้งที่กฎหมายและนโยบายก็เปิดทางอยู่
บางทีก็สงสารชาวบ้านที่อยู่ในกองไฟ และอยากออกจากกองไฟให้เร็วที่สุด แม้จะมองเห็นทาง แต่ก็ไม่กล้ากระโดดออกมา กลัวถูกมองว่า นึกถึงแต่ตัวเอง !!
ขอบคุณค่ะ
ดิฉันเองเคยมีประสบการณ์ตรงแบบแรงมากกับการช่วยชาวบ้านจับคอรัปชั่นเรื่องบัตรนี่แหละ ปรากฏว่าผู้เสียผลประโยชน์ปลุกม็อบชาวบ้านหลายร้อยคนมาประท้วง หาว่าพวกเราจะทำให้พวกเขาไม่ได้สัญชาติ
แต่แน่นอน อย่างที่คุณว่า ความเจ็บปวด ก็เป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้พวกเราเข้มแข็ง และชัดเจนในหนทางที่พวกเราเลือกเดินมากยิ่งขึ้น ....... ในแบบของเรา
ขอแลกเปลี่ยนด้วนนะค่ะ จ่อจากพี่สรินยาละกัน
ว่าด้วยคำว่า " ต่างด้าว "
คำๆนี้ ถ้าไปบอกให้กับพี่น้องเชื้อสายกะเหรี่ยงฟัง ...เขาจะ......นิ่ง......และปฏเสธไปก่อนเลยว่า ไม่เอา ไม่เอา เราไม่เอาต่างด้าว....และจะไม่ยอมทำความเข้าใจเลย.......เมื่อนุชอธิบายต่อจากคำว่าต่างด้าว....เป็นเรื่อง..สถานะ....................
" สถานะต่างด้าว "
ไม่เอา ไม่เอา เราไม่เอาต่างด้าว (ชาวบ้านพูด)......โดยที่อาจจะไม่เข้าใจในสำเนียงภาษาที่นุชพยายามสื่อสารว่า สถานะต่างด้าวคืออะไร ....นุชจำต้องหลอกพวกเขา....ไปว่า
จะทำวีซ่าให้เหมือนฝรั่งนะ................ฝรั่งก็เป็นต่างด้าวเหมือนกันนะ........................
จนกระทั่งวันนี้................พี่น้องกะเหรี่ยง......บางคนที่เชื่อได้ว่าเขาเกิดในประเทศไทยแท้ๆ......แต่ต้องมายอมรับ.....สถานะต่างด้าว.........เพียงเพราะเอกสารที่เขาถืออยู่....ดันมีทะเบียนประวัติเขียนว่า เขาเกิดพม่า........
เมื่อนุชถามชาวบ้านว่ารู้ไหมว่าทำไมเขาเขียนว่าเกิดพม่าละ ...พี่น้องตอบนุชว่า.....ก็เจ้าหน้าที่เขาไม่ได้ถามเลยนี่นา.....มารู้ทีหลังว่าเกิดพม่าก็ที่พี่นุชบอกเนี่ย......แต่ไม่นะ แม่ผมบอกว่าผมเกิดตรงนี้ไงที่พี่นุชยืนอยู่........
และวันนี้ ...ท่านรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สถานะต่างด้าวกับชายผู้นี้แล้ว.......แต่อยู่ระหว่างการรอ...ไปรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ และสำเนาทะเบียนบ้าน (เอกสารหลายชิ้นที่ไม่รู้ว่าจะเข้าใจไหมว่าคืออะไร อยู่ๆก็ต้องมาถือสมุดเล่มเล็กๆถึง 3 เล่ม ) และชายคนนี้จะต้องถือเอกสารที่ระบุว่าเขาเป็นคนต่างด้าว...ไปตลอดชีวิตของเขา
เป็นความรู้สึก...แย่ที่สุดสำหรับตัวนุช เป็นประสบการณ์ที่นุชต้องนำมาเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า....จะทำงานต่อไปได้หรือ ถ้ายังอธิบายให้ชาวบ้านไม่เข้าใจ....