วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสำคัญของบรรพบุรุษของเรามากกว่า 6 พันปี มีการค้นพบเชื้อวัณโรคโดยโรเบิร์ต คอค นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันและได้มีวิวัฒนาการในการดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรคมาตามลำดับ(นิธิพัฒน์ เจียรกุล, 2552) วัณโรคเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิด Mycobacterium ซึ่งมีหลายชนิด ที่พบบ่อยที่สุดคือ M.Tuberculosis ซึ่งสามารถติดต่อได้ทางเดินหายใจ เมื่อร่างกายรับเชื้อวัณโรคเข้าทางระบบทางเดินหายใจเชื้อจะฝังตัวและแบ่งตัวที่เนื้อปอดบริเวณส่วนล่างของกลีบบนหรือส่วนบนของปอดกลีบล่างโดยแบ่งตัวในเซลล์มาโครฟาจของถุงลม เมื่อเชื้อแบ่งตัวในเซลล์จำนวนมากพอแล้วจะถูกส่งไปตามกระแสน้ำเหลืองไปต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอด ซึ่งจะมีการแบ่งตัวมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย(ทวี โชติพิทยาสุนนท์, 2550) เชื้อวัณโรคส่วนใหญ่จะถูกระบบภูมิคุ้มกันชนิดพึ่งเซลล์ของร่างกายทำลาย มีเพียงส่วนน้อยที่จะเหลือซ่อนตามอวัยวะต่างๆ บางแห่งจะอยู่ในภาวะที่สงบโดยไม่ก่อให้เกิดโรคหรือทำให้เห็นรอยโรค การเกิดวัณโรคโดยทั่วไปจะแบ่งได้เป็น 3 ระยะ(อังกูร เกิดพาณิช, 2545) คือ
1. ระยะสัมผัสโรค เป็นระยะที่เพิ่งไปสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคในระยะติดต่อ โดยเฉพาะผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ผลตรวจเสมหะให้ผลบวก ซึ่งมักเป็นคนในบ้านเดียวกัน ในระยะนี้ยังไม่ปรากฏอาการใดๆ การตรวจร่างกายจะไม่พบสิ่งผิดปกติและการทดสอบทุเบอร์คูลินจะให้ผลลบ ถ่ายภาพรังสีปอดจะปกติ ทั้งนี้ผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคไม่จำเป็นต้องติดเชื้อวัณโรคทุกราย
2. ระยะติดเชื้อวัณโรค ในระยะนี้จะยังไม่มีอาการอาการแสดงเนื่องจากอยู่ในระยะฟักตัว แต่ทราบได้โดยการทำการทดสอบทุเบอร์คูลินจะให้ผลบวก
3. ระยะเป็นวัณโรค เป็นระยะที่เชื้อวัณโรคมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในระยะนี้จะมีอาการและอาการแสดงที่ชัดเจน ภาพถ่ายรังสีทรวงอกจะพบความผิดปกติ ซึ่งพบว่าผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรงเมื่อรับเชื้อวัณโรคแล้ว เชื้อจะลุกลามจนเป็นวัณโรคภายหลังการรับเชื้อประมาณ 6 เดือน(ทวี โชติพิทยาสุนนท์, 2550)
ปัจจัยที่ทำให้เชื้อวัณโรคมีการลุกลามเกิดจากเชื้อมีระดับความรุนแรงสูง การเจ็บป่วยด้วยอื่นที่มีผลทำให้ร่างกายอ่อนแอ เช่นผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีอายุน้อย โดยเฉพาะในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ทั้งนี้เมื่อมีการติดเชื้อวัณโรคครั้งแรกแล้วจะมีโอกาสลุกลามกลายเป็นวัณโรคเพียงร้อยละ 5-10 ตลอดชีวิต โดยครึ่งหนึ่งของการเกิดโรควัณโรคนั้นจะเกิดในช่วง 2-3 ปีแรก แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วยอัตราการเป็นวัณโรคจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5-10 ต่อปี (ทวี โชติพิทยาสุนนท์, 2550)
วัณโรคเป็นโรคติดต่อสำคัญที่กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุข เป็นสาเหตุการป่วยและการตายในหลายๆประเทศทั่วโลก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการพัฒนามาตรฐานการรักษาและการควบคุมวัณโรคทำให้องค์การอนามัยโลกเคยคาดการณ์ไว้ว่าในปี พ.ศ.2543 จะสามารถควบคุมสถานการณ์ของวัณโรคในประชากรโลกให้ได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้อสำคัญในอดีตเช่นไข้ทรพิษ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ จนองค์การอนามัยโลกต้องมีการปรับเป้าหมายและประกาศออกมาว่า “วัณโรคกำลังเป็นภาวะฉุกเฉินที่คุกคามมนุษยชาติ”(นิธิพัฒน์ เจียรกุล, 2552) ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้วัณโรคกลับมามีปัญหาใหม่ทั่วโลกเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ความยากจน การอพยพย้ายถิ่น และการเคลื่อนย้ายแรงงาน ส่งผลทำให้การแพร่ระบาดของวัณโรคมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และตั้งแต่เดือนเมษายน 2536 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้มีการแก้ไขปัญหาวัณโรคอย่างเร่งด่วน(ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์, 2551) องค์การอนามัยโลกรายงานว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั่วโลกได้ติดเชื้อวัณโรค ความชุกของผู้ป่วยวัณโรคมีประมาณ 14.4 ล้านคน (219 ต่อแสนประชากร) ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นผู้ป่วยที่กำลังแพร่เชื้อ และแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 9.15 ล้านคน (139 ต่อแสนประชากร) โดยร้อยละ 95 อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งผู้ป่วยวัณโรคเสียชีวิตปีละประมาณ 1.65 ล้านคน และผู้ป่วยวัณโรคที่เสียชีวิตร้อยละ 98 อยู่ในประเทศที่ยากจน(ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์, 2551)
จากการรายงานขององค์การอนามัยโรคเมื่อปี 2551 มี 22 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรค โดย 3 ประเทศแรกที่มีจำนวนผู้ป่วยวัณโรคมากที่สุดคือ ประเทศอินเดีย จีนและอินโดนีเซีย สำหรับประเทศไทยจัดอยู่ในลำดับที่ 18 (ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์, 2551) โดยมีผู้ป่วยวัณโรคทั้งสิ้น 125,000 ราย (197 ต่อแสนประชากร) และผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทยเสียชีวิตปีละ 13,000 ราย (20 ต่อแสนประชากร)
สถานการณ์วัณโรคในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2549 ผลการรักษาผู้ป่วยรายใหม่ระยะแพร่เชื้อได้อัตราความสำเร็จของการรักษาเพียงร้อยละ 77 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่บรรลุเป้าหมาย (ร้อยละ 85) คืออัตราการตายสูงร้อยละ 8 และอัตราการขาดการรักษาร้อยละ 6 ในปี พ.ศ. 2550 กรมควบคุมโรครับรายงานจากโรงพยาบาลผ่านสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสำนักงานป้องกันควบคุมโรคทั้ง 12 แห่ง พบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ระยะแพร่เชื้อ 28,250 ราย (44 ต่อแสนประชากร) รวมผู้ป่วยทุกประเภท 54,300 ราย (85 ต่อแสนประชากร) และในปี 2551 มีผู้ป่วย 65,252 ราย หรืออัตรา 113.51 รายต่อประชากรแสนคน เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ร้อยละ 1.8 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเอดส์ป่วยเป็นวัณโรคสูงถึงร้อยละ 30 (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, 2552) จำนวนผู้ป่วยวัณโรคเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของการระบาดในชุมชนอันแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่คนในสังคมจะรับเชื้อจากผู้ป่วยเหล่านี้ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีผู้เป็นวัณโรค และบุคลากรด้านสุขภาพที่ให้การดูแลผู้ป่วยในสถานพยาบาลที่มีการระบาดของวัณโรค
การแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาลซึ่งมีทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์มาใช้บริการและให้บริการร่วมกันทำให้เกิดการระบาดของวัณโรคได้ 3 รูปแบบ(บุญส่ง พัจนสุนที, 2543) คือ 1. จากผู้ป่วยวัณโรคสู่ผู้ป่วยอื่น 2. จากผู้ป่วยวัณโรคสู่บุคลากรทางการแพทย์ และ 3. จากบุคลากรทางการแพทย์แพร่กระจายสู่ผู้ป่วยและผู้ร่วมงาน โดยบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อวัณโรคจากการปฏิบัติหน้าที่สูงกว่าประชากรโดยทั่วไป(บุญส่ง พัจนสุนที, 2543) ซึ่งการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในโรงพยาบาลมีสาเหตุมาจาก การวินิจฉัยล่าช้า ได้รับผลการตรวจเสมหะช้า ลักษณะทางคลินิกของวัณโรคที่จำเพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี การแยกผู้ป่วยไม่ได้มาตรฐาน และการไม่ได้ใช้เครื่องป้องกันในระหว่างการทำหัตถการที่มีความเสี่ยงต่อการสูดหายใจเอาเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย(นรวีร์ จั่วแจ่มใส, 2545) เนื่องจากวัณโรคแพร่กระจายเชื้อทางอากาศผู้ที่ใช้อากาศหายใจจึงต้องมีการใช้มาตรการหลายอย่างเป็นแนวทางในการป้องกัน ในดำเนินการเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในสถานพยาบาลให้ประสบผลสำเร็จประกอบด้วยมาตรการทั่วไปที่ต้องทำในทุกพื้นที่ของโรงพยาบาลและมาตรการจำเพาะสำหรับหน่วยงานที่มีความเสี่ยงสูง(บุญส่ง พัจนสุนที, 2543) ซึ่งมาตรการในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในสถานพยาบาลประกอบด้วยมาตรการ 3 กลุ่ม คือ
1. ระบบบริหารจัดการเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคเพื่อให้มีการค้นพบผู้ป่วยวัณโรคในระยะแพร่เชื้อโดยเร็ว จัดห้องแยกที่เหมาะสม ร่วมกับการให้ยารักษาที่ถูกต้องโดยเร็ว
2. การควบคุมสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บริเวณที่มีโอกาสเสี่ยงสูงมีระบบถ่ายเทอากาศที่ดี มีแสงแดดส่องถึง หรือมีมาตรการเสริมอื่นๆเพื่อที่จะเจือจางเชื้อวัณโรคที่แขวนลอยในอากาศโดยเร็วที่สุด
3. การป้องกันบุคลากรไม่ให้รับเชื้อวัณโรคและป้องกันผู้ที่รับเชื้อแล้วไม่ให้ป่วยเป็นวัณโรค เลือกใช้เครื่องป้องกันที่เหมาะสม และคัดกรองบุคลากรที่ได้รับเชื้อแล้วได้รับยาป้องกันที่เหมาะสม และที่สำคัญคือการให้ความรู้แก่บุคลากรให้รู้จักป้องกันตนเอง(บุญส่ง พัจนสุนที, 2543)
การให้ความรู้แก่บุคลากรในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อและความปลอดภัยในการปฏิบัติงานเป็นการดำเนินการเพื่อให้บุคลากรเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการควบคุมการติดเชื้อและปฏิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัด ซึ่งการให้ความรู้เรื่องวัณโรคแก่บุคลากรทางการแพทย์ต้องประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อ แนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อและแนวทางในการลดปัจจัยเสี่ยง การใช้เครื่องป้องกันร่างกาย การเฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ ซึ่งผลสำรวจระบบการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในประเทศไทยพบว่า โรงพยาบาลที่ได้ดำเนินการในการให้ความรู้บุคลากรเกี่ยวกับวัณโรคมีเพียงร้อยละ 56 (นรวีร์ จั่วแจ่มใส, 2545) ซึ่งบุคคลที่มีความรู้ ความเข้าใจที่ดีจะนำสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องการปฏิบัติในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในโรงพยาบาลนอกจากบุคลากรต้องมีความรู้แล้วความเชื่อยังเป็นส่วนประกอบภายในตัวบุคคล โดยความเชื่อจะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model) ของเบคเกอร์(Becker, 1974)ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีผลต่อพฤติกรรมความร่วมมือในการป้องกันโรคไว้(Becker, 1974; Janz & Becker, 1984) ดังนี้
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้ติดเชื้อวัณโรคเพิ่มมากขึ้น โดยประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อวัณโรคมากเป็นลำดับที่ 18 ของโรค ทำให้มีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลจึงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น โรงพยาบาลจำเป็นต้องมีมาตรฐานในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในโรงพยาบาล ทั้งนี้ยังพบว่าบุคลากรทางการแพทย์มีการติดเชื้อวัณโรคสูงกว่าคนทั่วไป 2-10 เท่า(บุญส่ง พัจนสุนที, 2543)
จากทฤษฎีพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในโรงพยาบาลเป็นปัจจัยด้านบุคคล ได้แก่ ความรู้ และความเชื่อด้านสุขภาพที่จะเป็นปัจจัยทำนายการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อ หากบุคลากรมีความรู้เรื่องวัณโรค และมีความเชื่อด้านสุขภาพจะทำให้มีการปฏิบัติในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาลมากขึ้น และส่งผลให้การติดเชื้อวัณโรคในบุคลากรน้อยลง ดังนั้นการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับวัณโรค กับการปฏิบัติเพื่อควบคุมการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในโรงพยาบาลและการติดเชื้อวัณโรคของบุคลากรพยาบาลจะทำให้ทราบถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อวัณโรคในบุคลากรเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการวางแผนการดำเนินงานในการเฝ้าระวังการติดเชื้อวัณโรคในบุคลากรพยาบาลในโรงพยาบาล
บรรณานุกรม
Becker, M. H. (1974). The Health belief model and personal health behavior.
Michigan: C. B. Slack.
Janz, N. K., & Becker, M. H. (1984). The health belief model: a decade later
Health education quarterly.
ทวี โชติพิทยาสุนนท์ (2550). วัณโรค ใน โรคติดเชื้อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน จุฑารัตน์
เมฆมัลลิกา ชิษณุ พันธ์เจริญ ทวี โชติพิทยสุนนท์ และ อุษา ทิสยากร
บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: ธนาเพลส.
นรวีร์ จั่วแจ่มใส (2545). การป้องกันวัณโรคในบุคลากรการแพทย์ ใน รายงานการ
ประชุมทางวิชาการวัณโรคและโรคระบบทางเดินหายใจระดับชาติครั้งที่ 5 วันที่
16-18 กรกฎาคม 2545 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ: สมาคมปราบวัณโรค
แห่งประเทศไทย.
นิธิพัฒน์ เจียรกุล (2552). เรียนรู้วัณโรคhttp://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=496. กรุงเทพ: คณะแพทยศาสตร?ศิริราชพยาบาล.
บุญส่ง พัจนสุนที (2543). วัณโรคในบุคลากรทางการแพทย์ ขอนแก่น: คลังนานา
วิทยา.
ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์ (2551). สถานการณ์วัณโรคของประเทศไทยและแนวทาง
แก้ไข. วารสารวัณโรค โรคทรวงอกและเวชบำบัดวิกฤต, 29(3), 169-172.
พรพรรณ เธียรปัญญา (2535). ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติเกี่ยวกับโรคเอดส์
กับการปฏิบัติในการป้องกันการติดเชื้อโรคเอดส์ของพยาบาลวิชาชีพในการ
พยาบาลสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่.วิทยา
นิพนธ์พยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลแม่และเด็ก. บัณฑิต
วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่.
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (2552). ภาวะ
สังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2552 หน้า 4 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ http://www.nesdb.go.th/temp_social/ts/temp_social_1-2552.pdf
อังกูร เกิดพาณิช (2545). การรักษาวัณโรคในระยะติดเชื้อ ใน รายงานการประชุม
วิชาการวัณโรคและโรคระบบการหายใจระดับชาติ ครั้งที่ 5 วันที่ 16-18
กรกฎาคม 2545 โรงแรมเซนจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ: สมาคมปราบวัณโรคแห่ง
ประเทศไทย.
สวัสดีค่ะ ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ
แปลกจังนะคะ
โรคนี้ไม่หมดไปเสียทีค่ะ เป็นกำลังใจให้ ICN ค่ะ
คนไข้ทานยาในระยะสองเดือนแรกได้ไม่ดีนะคะ
โดยเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทันคะ คนไข้มีมากขึ้น
บางคนก็ซ่อนยาไว้คะ บอกว่าทานครบ
ระยะเวลาการรักษา 6 เดือน ที่จะต้องทานยาต่อเนื่องคะคนไข้เลยเบื่อนะคะ หรือไม่มีค่ารถมารับยา
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีเกี่ยวกับวัณโรคค่ะ
Medical research of Plasmacluster against Tuberculosis , bacteria and fungi from Thailand Research Team...
http://www.icnurse.org/webboard/webboardDetail.php?detailID=912
http://www.youtube.com/watch?v=cBxSJhkxY5I&feature=player_embedded
The technology may be used for risk reduction of airborne germs ... The further test is useful for reducing the high risk contamination among professor.
กลไกการทำลายเชื้อแบคทีเรียของอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์
(Bactericidal effects of plasma-generated cluster ions)
ตีพิมพ์ใน Abstract ของวารสารการแพทย์ Med.Biol.Eng.Comput.,2005,43,800-807
----------------------------------------------------------------
Diget , A.Temiz Artmann , K.Nishikawa , M.Cook , E.Kurulgan , G.M.Artmann
University of Applied Sciences, Aachen , Germany
Sharp Corporation , Japan
ระบบ plasmacluster เป็นการพ่นอนุภาค + และ – ออกมา จากผลการทดสอบที่ผ่านมาหลายๆครั้งยืนยันได้ว่าเป็นอาวุธอย่างดีในการทำลายเชื้อโรคหลากหลายสายพันธุ์ แต่เราก็ยังไม่ทราบกลไกการทำงานอย่างกว้างขวางนัก วัตถุประสงค์ของการทดสอบครั้งนี้เป็นการศึกษาวิธีการทำงานและประสิทธิภาพการทำลายเชื้อโรคของอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ที่มีต่อเชื้อโรคทั่วไปในครัวเรือน จากการทดลองหาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของอนุภาคที่ถูกพ่นออกมากับระยะเวลาที่ใช้ต่อเชื้อแบคทีเรียชนิด Staphylococcus, Enterococcus, Micrococcus และ Bacillus เราพบว่าปฎิกริยาการทำลายเกิดขึ้นทันทีภายในไม่กี่นาทีแรกของการพ่นอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ รวมถึงการทำลายเชื้อโรค 99.9% อย่างถาวรภายในเวลา 2-8 ชั่วโมง ผลการทำลายได้เกิดขึ้นที่ผนังเซลล์ของเชื้อโรค ซึ่งเราใช้จากการตรวจสอบแบบเทคนิค SOS PAGE และ 2D PAGE จึงได้บันทึกถึงการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนชั้นนอกที่ผนังเชื้อโรค รวมถึงการบันทึกผลต่อการสูญสลายไปทั้ง DNA และ cytoplasm ด้วย ยืนยันได้ว่าอนุภาคพลาม่าคลัสเตอร์ไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผนังเชื้อโรคด้วยปฎิกริยาทางเคมี โดย active hydroxyl ที่เกิดขึ้นมีผลทำให้ผนังโปรตีนของเชื้อโรคถูกทำลายไป ขณะเดียวกันกับการสูญสลายของ DNA ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานของอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์แต่อย่างใด ข้อมูลการทดสอบครั้งนี้จึงเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการนำระบบฆ่าเชื้อโรคนี้ไปทำให้เกิดประสิทธิผลในการประยุกต์ใช้กับเครื่องมือได้ดีขึ้น
อยากทราบว่า เชื้อวัณโรคแพร่กระจายได้ไกลในระยะเท่าไหร่คะ