หน่วยที่ 7 การจัดการทรัพยากรบุคคล
ความหมายของการจัดการทรัพยากรบุคคล หมายถึง ศิลปะในการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานในองค์กร มอบหมาย พัฒนาบุคคล และให้พ้นจากงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพของผลผลิตหรือบริการขององค์กรเป็นสำคัญ
ประโยชน์ของการจัดการทรัพยากรบุคคล
บทบาทหน้าที่ในการจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีต่อองค์กร มีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล การให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้บริหารในระดับสูง บทบาทในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร การสร้างขวัญและกำลังใจ และบทบาทในฐานะผู้ควบคุม
บทบาทหน้าที่ในการจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีต่อสมาชิกองค์กร มีบทบาทในการวางแผนทรัพยากรบุคคล ทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการจัดการทรัพยากรบุคคล มีบทบาทด้านการจัดการตำแหน่งให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก้สมาชิกขององค์กร และมีบทบาทในการธำรงรักษาบุคลกรที่ดีให้อยู่กับองค์กรได้ตลอดไป
การจัดการทรัพยากรบุคคลโดยยึดหลักคุณธรรมมีองค์ประกอบ ดังนี้
การจัดการทรัพยากรบุคคลโดยยึดหลักอุปถัมภ์มีองค์ประกอบ เป็นการจัดการทรัพยากรบุคคลที่ตรงกันข้ามกับหลักคุณธรรม โดยมุ่งเน้นการยึดเอาพวกพ้องเข้ามาช่วยทำงาน เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้การทำงานมีความราบรื่น
กระบวนการจัดการทรัพยากรบุคคล
ความหมายของการสรรหา คัดเลือก และบรรจุแต่งตั้ง
การสรรหา หมายถึง การหาแหล่งผลิตกำลังคน หรือการค้นหาบุคคลที่มีคุณสมบัติ มีคุณวุฒิ ประสบการณ์และทักษะตามที่องค์กรต้องการ การสรรหาที่มีคุณภาพจะทำให้องค์กรมีโอกาสคัดเลือกคนที่ดีมีความเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์กรได้
การคัดเลือก ภายหลังจากที่ทำการสรรหาเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่สนใจทราบข่าวคราวเกี่ยวกับ การสรรหาบุคคลแล้ว หน่วยงานจัดการทรัพยากรบุคคลจะต้องคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง ตรงกับความต้องการขององค์กรมากที่สุด โดยจะต้องเลือกเครื่องมือที่จะใช้ในการคัดเลือกที่เหมาะสม
การบรรจุและแต่งตั้ง คือ การมอบหมายงานให้บุคคลผู้นั้นปฏิบัติ ในการบรรจุและแต่งตั้งควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับงานตามคำกล่าวที่ว่า “Put the right man in the right job”
ความหมายของการเลื่อนและการย้ายตำแหน่ง
การเลื่อนตำแหน่ง คือ การแต่งตั้งให้บุคลากรไปดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบในระดับ ที่สูงขึ้น มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานเพิ่มมากขึ้น
การย้ายตำแหน่ง คือ การแต่งตั้งให้บุคลากรไปดำรงตำแหน่งใหม่ที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่อาจต่างหน่วยงานหรือแผนก
ความแตกต่างระหว่างบำเหน็จกับบำนาญ
บำเหน็จ คือ เงินตอบแทนที่จัดให้เพียงครั้งเดียว เป็นเงินก้อน ที่ผู้ซึ่งพ้นจากตำแหน่งจะรับในครั้งเดียว
บำนาญ คือ เงินตอบแทนที่จัดให้เป็นรายเดือน ตอบแทนให้จนกว่าบุคคลนั้นจะเสียชีวิต นิยมใช้ในหน่วยงานราชการ
หน่วยที่ 8 การอำนวยการ
ความหมายของ “การอำนวยการ” คือ การมอบหมาย ชี้แนะ และติดตามตรวจสอบการทำงานของพนักงานให้ดำเนินไปตามแผนหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยจะต้องคำนึงถึงขวัญและกำลังใจของพนักงานด้วย
องค์ประกอบของการอำนวยการ ประกอบด้วย การตัดสินใจ การสั่งการ การจูงใจ การสร้างขวัญและกำลังใจ การประสานงานและการสื่อสาร
วิธีการที่ใช้ในการตัดสินใจ
กระบวนการในการตัดสินใจ
การตัดสินใจที่ดี ควรยึดหลักการคำนึงถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับส่วนรวมเป็นหลัก สามารถปฏิบัติได้ เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดกฎหมายและหลักของศีลธรรม ให้ผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
การสั่งการ จำแนกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. การสั่งการแบบเป็นลายลักษณ์อักษร คือ การสั่งการที่มีการเขียนหรือบันทึกออกเป็นคำสั่ง สามารถตรวจสอบและใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ เช่น คำสั่ง ประกาศ แนวปฏิบัติ การสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร อักษรที่นิยมใช้กันมากในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากมีจำนวนบุคลากรมากจำเป็นต้องสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้บุคลากรทุกคนเกิดความเข้าใจที่ตรงกัน
2. การสั่งการที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการสั่งการที่ไม่เป็นทางการ สั่งการด้วยคำพูด ไม่สามารถเก็บเป็นหลักฐานได้
ทฤษฎี X และทฤษฎี Y
ทฤษฎี X ตามความคิดของแมกเกรเกอร์ เชื่อว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนชี้เกียจไม่ชอบทำงาน ขาดความรับผิดชอบ คนส่วนมากไม่มีความคิดริเริ่ม ดังนั้นการจะสั่งการให้คนทำงานได้จะต้องไม่ใช้วิธีการบังคับ
ทฤษฎี Y เชื่อว่ามนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน มีความขยันขันแข็ง ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุน มีความรับผิดชอบและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ผู้บริหารที่เชื่อในทฤษฎี Y จะพยายามส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้แสดงความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่ มีการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
วิธีการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงาน
องค์ประกอบของการสื่อสาร
1. ผู้ส่งสารหรือผู้สื่อสารหรือต้นตอ (Sender , Source) หมายถึง ผู้เริ่มต้นในการส่งข่าวสารหรือข้อมูลต่าง ๆ
2. ข่าวสารหรือเรื่องราว (Message) หมายถึง เนื้อหาสาระ ข้อมูล ความหมาย ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติที่ผู้ส่งสารต้องการจะสร้างความเข้าใจร่วมกันกับผู้รับสาร ให้ผู้รับสารเข้าใจตรงกับผู้ส่งสาร
3. ช่องทาง (Channal) หมายถึง วิธีการหรือหนทางหรือวิถีทางที่จะนำข่าวสารหรือเรื่องราวส่งไปยังผู้รับสาร
4. ผู้รับสาร (Receiver) หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลหรือสถาบันที่เป็นเป้าหมายของการสื่อสารที่ผู้ส่งสารต้องการสร้างความเข้าใจร่วมกัน
5. การตอบสนองหรือข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) หมายถึง ปฏิกิริยาได้ตอบหรือตอบรับที่ผู้รับสารกระทำภายหลังจากได้รับข่าวสารจากผู้ส่งสารแล้ว
การสื่อสาร มี 2 ประเภท คือ
1. การสื่อสารภายใน (Internal Communication) หมายถึง การสื่อสารภายในองค์กรหรือสถาบันซึ่งเป็นการติดต่อกันของบุคคลภายในองค์กร บริษัท หน่วยงาน หรือสถาบัน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน
2. การสื่อสารภายนอก (External Communication) หมายถึง การสร้างความเข้าใจร่วมกันกับบุคคลหรือองค์กรภายนอก ได้แก่ ประชาชนทั่วไป กลุ่มลูกค้า คู่แข่งขัน เพื่อให้ประชาชนภายนอกองค์กร รู้ เข้าใจและให้การสนับสนุนการดำเนินกิจการขององค์กร
หน่วยที่ 9 การควบคุม
ความหมายของ “การควบคุม” หมายถึง การตรวจสอบการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดเอาไว้หรือไม่ และการปฏิบัติงานนั้นมีมาตรฐานในการทำงานหรือไม่
วัตถุประสงค์ของการควบคุมงาน การควบคุมงานช่วยสร้างมาตรฐานของงานในองค์กร ช่วยสร้างมาตรฐานในการควบคุม การควบคุมมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบวิธีการทำงานของพนักงานให้สามารถรักษาคุณภาพของผลผลิตให้ได้มาตรฐาน เป็นการตรวจสอบความก้าวหน้าของงาน และยังสามารถใช้ใน การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานด้วย
มาตรฐานการควบคุมงาน มี 2 ประเภท คือ
1. มาตรฐานในเชิงคุณภาพ กำหนดเอาไว้โดยพิจารณาจากความยุ่งยากซับซ้อน ความรับผิดชอบ การตัดสินใจ ผลกระทบของงาน ถือเป็นมาตรฐานในเชิงคุณภาพ
2. มาตรฐานในเชิงปริมาณ กำหนดโดยพิจารณาจากจำนวนผลงานที่ทำได้ สามารถนับจำนวนชิ้นงานออกมาได้ เช่น พิมพ์ดีด 8 หน้าต่อ 1 วัน เป็นต้น
การควบคุม มี 4 ประเภท ได้แก่ การควบคุมคุณภาพของงาน การควบคุมปริมาณของงาน การควบคุมด้านเวลา และการควบคุมด้านค่าใช้จ่าย
หลักในการควบคุม
ประโยชน์ของการควบคุมต่อองค์กร เป็นเครื่องชี้วัดความก้าวหน้าขององค์กร ทำให้องค์กรมีเกณฑ์มาตรฐานในการปฏิบัติงานของบุคลากร ทำให้องค์กรเป็นที่ยอมรับ
ประโยชน์ของการควบคุมต่องาน ทำให้รู้ว่างานที่ทำเป็นไปตามแผนงานหรือโครงการหรือนโยบายที่กำหนดเอาไว้หรือไม่ ทำให้รู้ความก้าวหน้าของงานที่ทำ ทำให้รู้ว่าวิธีการที่ใช้ในการปฏิบัติงานนั้น ๆ เป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ และทำให้รู้ว่างานที่ทำมีอุปสรรคอะไร
ประโยชน์ของการควบคุมต่อบุคคล เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐาน ส่วนในด้านผู้ปฏิบัติการควบคุมทำให้ผู้ปฏิบัติตระหนักถึงความรู้ความสามารถของตนเอง
กระบวนการในการควบคุม
เทคนิคและวิธีการควบคุมงาน
1. การควบคุมโดยกำหนดมาตรฐานของงาน เป็นวิธีการควบคุมที่มีรูปแบบกำหนดเอาไว้อย่างมีขั้นตอนสามารถตรวจสอบได้
2. การควบคุมโดยงบประมาณ เป็นการควบคุมโดยพิจารณาจากการใช้งบประมาณเพื่อดำเนินตามแผนงานหรือโครงการ
3. การควบคุมโดยวิธีตรวจเยี่ยม เป็นวิธีการควบคุมงานที่ไม่เป็นทางการ ไม่มีรูปแบบตายตัว ดำเนินการโดยผู้บริหารอาจเดินดูหรือทักทายผู้ปฏิบัติงาน
4. การควบคุมโดยเรียงลำดับผลงาน วิธีการควบคุมงานวิธีนี้จะใช้หลักการในการพิจารณาปริมาณและคุณภาพของงานจัดเรียงลำดับตั้งแต่ระดับสูงจนถึงระดับต่ำสุด
5. การควบคุมโดยบุคลากรที่เกี่ยวข้องในองค์กร การประเมินวิธีนี้จะต้องประเมินโดยใช้เพื่อนร่วมงานเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานกันเอง
หน่วยที่ 10 แรงงานสัมพันธ์และประกันสังคม
ความหมายของ “แรงงานสัมพันธ์” หมายถึง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เริ่มตั้งแต่การรับลูกจ้างเข้าทำงานจนกระทั่งลูกจ้างออกจากงาน
กำหนดเวลาการทำงาน ตามที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนด
1. กำหนดให้ลูกจ้างทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมง และ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
2. สำหรับงานอันตรายตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้ทำงานได้ไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน และ 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
3. ในวันที่มีการทำงาน ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักติดต่อกันไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง ภายใน 5 ชั่วโมงแรกของการทำงาน
4. นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักน้อยกว่าครั้งละ 1 ชั่วโมง ก็ได้แต่ต้องไม่ น้อยกว่าครั้งละ 20 นาที และเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง
5. กรณีงานในหน้าที่มีลักษณะต้องทำติดต่อกันไป หรือเป็นงานฉุกเฉินโดยจะหยุดเสียมิได้ นายจ้างจะไม่จัดเวลาพักให้ลูกจ้างก็ได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
วันหยุดตามกฎหมายแรงงาน มี 3 ประเภท คือ วันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพรี และวันหยุดพักผ่อนประจำปี
กำหนดการลาตามกฎหมายแรงงาน มี 6 ประเภท ได้แก่ การลาป่วย การลาคลอด การลาเพื่อทำหมัน การลากิจ การลาเพื่อรับราชการทหาร และการลาเพื่อฝึกอบรม
ความหมายของค่าจ้าง คือ เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยไม่คำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่มีสิทธิได้รับตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
ลูกจ้างจะได้รับเงินชดเชย ในกรณี
ตัวอย่างงานที่ห้ามไม่ให้แรงงานผู้หญิงทำ
ความหมายของแรงงานเด็ก หมายถึง แรงงานที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี การจ้างแรงงานเด็กห้ามนายจ้างทำการจ้างเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นลูกจ้างโดยเด็ดขาด
กรณีนายจ้างฝ่าฝืนเกี่ยวกับการใช้แรงงาน มีบทลงโทษทางอาญา นายจ้างผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามต้องถูกปรับขั้นต่ำไม่เกิน 5,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กองทุนประกันสังคม คือ กองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชน โดยการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการออมและเสียสละเพื่อส่วนรวมมีหลักการสำคัญที่มุ่งให้ประชาชนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือตนเอง และครอบครัวในยามที่ไม้มีรายได้ รายได้ลดลงหรือมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น โดยไม่เป็นภาระให้ผู้อื่นหรือสังคม การประกันสังคมจึงเป็นมาตรการหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิต โดยให้ความคุ้มครองผู้ประกันตน 8 กรณี ได้แก่
ขอบคุณนะค่ะ สำหรับข้อมูลดีๆๆแบบนี้นะค่ะ