"ตลาดข้าวสารของโรงสีชุมชน นั้นเหรอก็คือ"ตลาดที่อยู่ในสายตา"ก็คือตลาดในหมู่บ้าน / ในตำบล นั่นแหละ " กำนันจันที พิลึก กล่าวหลังจากได้เข้าร่วมประชุมในสภาข้าวต้มของกลุ่มแสงตะวันจังหวัดพิจิตร
จากข้อมูลของการจัดทำแผนแม่บทชุมชนพึ่งตนเองของแต่ละตำบลในจังหวัดพิจิตร พบว่าชาวนาส่วนใหญ่ทำนาแต่ซื้อข้าวสารกิน บางตำบลมีข้อมูลซื้อข้าวสารกินมากกว่า ห้าล้านบาท ข้อมูลเหล่านี้นี่แหละเป็นต้นเหตุให้ชาวนารวมตัวกันทำโรงสีชุมชนเพื่อเพิ่มมูลค่าข้าวเปลือกของตนเองและเพื่อนสมาชิก
ข้าวสารของโรงสีชุมชนต่างจากข้าวสารของโรงสีเอกชนที่วางจำหน่ายตามห้างร้านต่างๆ ก็คือข้าวสารของโรงสีชุมชนมีรสชาติของข้าวหุงสุก ตรงตามสภาพพันธุ์เดิมของข้าวและไม่มีการปลอมปน เขาเรียกว่า"ข้าวหัวเดียว"ถ้าเป็นข้าวหอมมะลิก็จะมีกลิ่นหอม รสชาตินิ่มอร่อย ถ้าเป็นข้าวขาวตาแห้งก็จะมีรสชาตินุ่มปากกินอร่อย แม้แต่กินข้าวเปล่า ๆ ก็อร่อย ยิ่งเป็นข้าวขาวกอเดียว(ของอำเภอบางมูลนากนะ อร่อย มาก ๆ ) ข้าวเจ้าพิจิตรถึงได้มีชื่อเสียง พ่อค้า แม่ค้า ที่ขายข้าวแกง ส่วนใหญ่ชอบมาซื้อข้าวสารจากพิจิตรไปขายนะ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ตลอดจนภาคต่าง ๆ สีของข้าวสารของโรงสีชุมชน เม็ดจะไม่ใสมาก (เพราะว่าเวลาที่สีข้าวไม่ได้ขัดข้าวมาก )เวลาหุงแล้วทิ้งไว้ได้นาน ไม่บูดง่าย ๆ มีราคาถูกกว่าข้าวสารจากตลาด ที่สำคัญที่สุดข้าวสารของโรงสีชุมชนมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวสารที่จำหน่ายตามท้องตลาด
ข้าวสารของเอกชนที่วางจำหน่ายกันตามท้องตลาดและห้างร้านต่างๆ ที่มีเม็ดใส สดสวย เงางาม ดูสะอาดตา ขอบอกว่าเขาขัดข้าวเสียจนใสและพ่นน้ำเพื่อให้ข้าวเกิดเงาใส แถมอบข้าวด้วยสารเคมี อบเสียจนไม่กล้ากิน เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง (ถึงแม้สถานที่บรรจุจะถูกสุขลักษณะตามมารตฐานก็ตาม) การที่เขาพ่นน้ำเพื่อทำให้ข้าวมีเม็ดใสสวย นั้นมันทำให้ข้าวที่เราหุงแล้วเนี่ย บูดเร็วมาก
ข้าวสารของโรงสีเอกชนมีการปนข้าวมั่วกันไปหมด เช่น เอาข้าวชัยนาทซึ่งเป็นข้าวนาปรัง (เป็นข้าวที่แข็งมาก ๆ แต่มีเมล็ดยาวคล้ายข้าวหอมมะลิ)พ่อค้าก็นำข้าวเปลือกมาปนกับข้าวหอมมะลิ และสีมาขายให้เรากินในราคาข้าวหอมมะลิ
ข้าวสารของเอกชนจึงไม่มีความมั่นคงในเรื่องของรสชาติ ไม่เหมือนเดิม ข้าวสุกจะแข็ง ๆ กินไม่อร่อย มีราคาแพง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บรรดาเถ้าแก่โรงสีชุมชนต่าง ๆ จึงมีปัญหาว่ามีข้าวสารไม่พอขายมีเท่าไหร่ก็ขายหมด ผลิตไม่ทัน ยกตัวอย่างเช่นที่อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก โรงสีชุมชนของ กลุ่มเกษตกรทำไร่ท่างาม โดยมีพ่อสุริทร์ อินจง เป็นแกนนำ ชูสโลแกนขายว่า คนวัดโบสถ์ต้องกินข้าววัดโบสถ์ เพราะโรงสีชุมชนที่ส่งเสริมการปลูกข้าวอินทรีย์พันธุ์หอมปทุม ไปฝากขายตามสถานที่ต่าง ๆ และที่สำคัญเวลาเกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆในจังหวัดพิษณุโลก ข้าวของโรงสีชุมชน จะถูกซื้อไปแจกให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ต่าง ๆ นี่ก็เป็นเทคนิคการตลาดของโรงสีชุมชนอีกวิธีหนึ่ง
และที่บ้านห้วยตัดไม้ ตำบลหนองปลาไหล อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ผู้ใหญ่ศักดา แก้วสระเสน และนายบุญถึง แก้วทอง นายก อบต.หนองปลาไหล ได้ปลูกข้าวพันธุ์หอมสุรินทร์จำนวน ร้อยกว่าไร่ เขาเกี่ยวข้าวด้วยมือไม่ใช้เครื่องจักรเลย จ้างเด็กนักเรียนในหมู่บ้านมาช่วยกันหอบข้าว นวดข้าว ตากข้าวเปลือก นำข้าวเปลือกเอาใส่ยุ้งเก็บไว้ ปีละร้อยกว่าเกวียน และก็ใช้โรงสีชุมชน ทยอยสีข้าวสารขาย ภรรยา ลูกสาว หลาน ๆ มาช่วยกันเก็บกากข้าว ฝัดข้าวสารให้สอาด ขายเป็นถัง ๆ ให้กับคนในชุมชน นอกชุมชน รวมทั้งข้าราชการในพื้นที่ทั้งไกล้และไกล มาซื้อกันไป ต่างก็พูดเสียงเดียวกันว่า ซื้อไปทีไร อร่อยเหมือนเดิมทุกครั้ง
เวลามีการประชุมประจำเดือนของอำเภอวังทรายพูน ผู้ใหญ่ศักดา ก็จะเป็นโฆษณา ขายข้าวสารของตนไปด้วย นายอำเภอช่วยประชาสัมพันธ์ด้วย พัฒนาชุมชน กศน. เกษตร ช่วยกันเยอะ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้ว เป็นที่รู้กันในย่านนั้น
ภาระกิจของเครือข่ายกลุ่มแสงตะวันที่ต้องดำเนินการไปอย่างต่อเนื่องก็คือให้ชาวนาได้รู้จักจัดการความรู้ด้วยวิธีการทำนาแบบใหม่ แบบต้นทุนต่ำ ทำนาขายข้าวสาร ทำนาขายเมล็ดพันธุ์ข้าว ให้ชาวนารู้จักทำการค้า รู้จักการรวมกลุ่มแสดงพลังการต่อรอง และการร่วมกันทำวิสาหกิจชุมชนในที่สุด
จากข้อมูลที่ได้อ่านนี้ดีมาก อยากให้ชุมชนของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมจัง แต่ก่อนมีโรงสีข้าวชุมชน แต่เดี่ยวนี้ไม่มีแล้วมีแต่เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาในหมู่บ้าน