วันนี้เป็นวันแรกที่พระอาจารย์ ดร. พระมหาสมจินต์ บรรยายวิชานี้ ครั้งแรกนี้ท่านได้ให้ขอบเขตของเนื้อหา แผนการเรียนการสอนที่มีรายการหนังสือที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน
ขอบเขตเนื้อหาที่ท่านนำเสนอในครั้งแรกนี้ ท่านนำเสนอยังไม่หมด เพราะหมดเวลาเสียก่อน โดยท่านเล่าให้ฟังก่อนว่า การนำเสนอขอบเขตนี้จะกินเวลาประมาณสามถึงสี่ครั้ง หลังจากนั้นท่านและวิทยากรรับเชิญจะบรรยายเนื้อหาในรายละเอียดในประเด็นที่น่าสนใจไปจนถึงครั้งที่แปด เวลาที่เหลือนับแต่ครั้งที่เก้าเป็นต้นไปจะเป็นการนำเสนองานกลุ่ม รายชื่อกลุ่ม และลำดับการนำเสนอได้มาการจัดลำดับแล้วโดยการจับสลากในการพบกันครั้งแรกนี้ ระหว่างนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดพิมพ์โดย "พี่เม่า" แล้วจะส่งมาให้ผมเพื่อนำเสนอในชุมชนนี้ต่อไป
งานมอบหมายในวิชานี้พระอาจารย์แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ งานกลุ่มดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น และงานเดี่ยวที่ต้องเขียนคนละ สามชิ้น ที่สำคัญท่านเน้นว่า ต้องเขียนอย่างดีนะ (ผมตีความว่า คือการเขียนบทความเชิงวิชาการเต็มรูปแบบ) ท่านใดที่มีแนวทางในการเขียนบทความเชิงวิชาการอยู่แล้ว โดยเฉพาะ คุณ "นันทพล" ที่พวกเราเคยอ่านงานท่านแล้วในวิชาของ พระอาจารย์ ดร. พระมหาหรรษา ผมว่าเราต้องเขยนประมาณนั้นครับ ส่วนท่านใดที่ยังไม่มีแนวทาง ผมยินดีแลกเปลี่ยนแนวทางการเขียน บทความเชิงวิชาการหรือบทความวิจัยครับ ลองเข้าไปดูที่
Thesis Community ของผมดูครับ เผื่อจะจุดประกายในวิธีการเขียนได้ หากท่านที่มีแนวทางการเขียนอยู่แล้วจะเข้าไปให้แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน จะขอบคุณมากครับ
ประเด็นเนื้อหาที่พระอาจารย์ คณบดี บรรยายในวันนี้ เป็นการให้ "คำหลัก" ในการศึกษา ซึ่งแต่ละคำล้วนเป็นคำที่สามารถนำไปเป็นหัวข้อในการทำงานมอบหมายได้ทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม ที่สำคัญท่านเน้นว่า "ต้องเป็นประเด็น หรือแง่มุมใหม่ ๆ โดยเฉพาะทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา" ประเด็นหลักที่ผมพอจะนึกออกมาดังนี้ครับ
วิถีชีวิตในสังคมอินเดียโบราณ มีคำถามที่นำไปสู่การศึกษาต่อไปในประเด็นนี้หลายคำถามเช่น
(หนึ่ง) วิถีชีวิตแบบ "อาศรมสี่" ของคนอินเดียโบราณ มีส่วนอย่างไรหรือไม่ต่อการออกบวชของพระพุทธเจ้าใจสมัยนั้น หากวิเคราะห์ใจเชิงสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา ประเด็นนี้ ส่วนตัวผมเห็นว่า ก็มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะท่านที่สนใจประวัติศาสตร์อินเดีย แต่ว่าท่านควรรู้จักวิธีการวิเคราะห์ความเป็นจริงทางสังคมของนักสังคมวิทยาด้วย จะทำให้พลังในการวิเคราะห์ของท่านมีพลังในการอธิบายมากขึ้นเช่น หากวิเคราะห์จากมุมมองของ "สำนักโครงสร้างนิยม" การอธิบาย และคำตอบ ก็จะได้อีกคำตอบหนึ่ง" สำนักโครงสร้างหน้าที่นิยม" "สำนักแฟรงค์เฟิร์ท" "สำนักศาสตร์ระบบ (system science)" คำตอบก็จะมีมิติในการอธิบายที่จะแตกต่างกันออกไปครับ หรือท่านเห็นว่าอย่างไร เชิญแลกเปลี่ยนครับ
(สอง) ประเด็นเรื่องวรรณสี่ ก็มีประเด็นที่น่าสนใจเช่นเดียวกับประเด็นเรื่อง อาศรมสี่ครับ แต่ในทัศนะผม ประเด็นนี้จะมีความซับซ้อนเพิ่มเข้ามาอีก เครื่องมือในการวิเคราะห์ประเด็นนี้ อาจดูได้จากวิธีการวิเคราะห์ของ Anthony Giddens แห่ง London School of Economic and Political Science LSE ที่ชื่อว่า Structuration Theory ซึ่งเสนอว่า โครงสร้างเกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง Actor กับ Structure ของสังคม ซึ่งคล้ายกับ Hermeneutic Circle ของนักอรรถประวรรตศาสตร์ยุคคลาสสิคและโรแมนติค หรือ วิธีการวิเคราะห์ของ Jurgen Habermas ที่เสนอว่า โครงสร้างทางสังคมมาจากระบบการติดต่อสื่อสารในสังคม ในงานของเขาชื่อ The Theory of Communicative Action วิธีของ Habermas นี้ มีลักษณะคล้ายกับข้อเสนอของ Niklass Luhmann ในงาน Social Systems แต่แตกต่างกันในรายละเอียดเรื่องการให้ความหมายของการสื่อสารครับ เห็นไหมครับ ประเด็นเรื่องวรรณสี่ สามารถวิเคราะห์ในทางสังคมวิทยาได้อย่างน่าสนใจมาก ขอเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับ วิธีการวิเคราะห์ของนักวิชาการไทยที่ไม่แพ้นักวิชาการตะวันตกที่ยกตัวอย่างให้ดูนั้น ท่านสามารถอ่านได้จากงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ ดร. นิธี เอียวศรีวงศ์ ครับ วิธีการวิเคราะห์ของท่านอาจสงเคราะห์เข้าได้กับวิธีการที่เรียนว่า Double Hermeneutic ของ Giddens หรือ Hermeneutic Circle ครับ งานของท่านมีพลังในการอธิบายมากครับ ลองมาหามาอ่านดูครับมาหลายเรื่องน่าสนใจ ที่สำคัญต้องตั้งเป้าหมายในการอ่านไว้ว่า "ไม่ได้อ่านเพื่อดูว่าท่านเขียนอะไรครับ แต่อ่านโดยตั้งประเด็นไว้ในใจว่า ท่านเขียนอย่างไร หรือถามตนเองว่า ประเด็นนั้น ๆ ทำไมท่านจึงใช้วิธีการอธิบายอย่างนี้" จะได้ประโยชน์ในเชิงเครื่องมือในการวิเคราะห์มากครับ ผมลองใช้แล้วครับ
(สาม) ประเด็นเรื่องทิฏฐิสอง "ขาดสูญ" กับ "เที่ยง"
(สี่) ประเด็นเรื่องวิธีปฏิบัติ "หย่อน" กับ "ตึง"
(ห้า) ประเด็นอื่น ๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนา ในแง่คำสอน และในแง่บุคคลและเหตุการณ์
วันนี้ท่านพระอาจารย์คณบดีได้เสนอถึงประเด็นนี้ครับ ส่วนประเด็นที่พระอาจารย์เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนในห้อง มีหลายเรื่องที่น่าสนใจครับ โดยเฉพาะ "กระทู้" ที่ "พี่แอ๊ว" ดร.เสาวลักษ์ ตั้งขึ้นมาว่า "รูปเป็นอนัตตา นั้นพอเข้าใจ แต่ นามเป็นอนัตตานั้น ยังรู้สึกยัดแย้งอยู่" เห็นประเด็นแล้ว ทำให้หลายคนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกันครับ บรรยากาศในการแลกเปลี่ยนดีมาก เป็นเรื่องที่ดีซึ่งจะทำให้เราได้ศึกษาต่อไปครับ
อีกประเด็นนี้ "พี่แอ๊ว" ถามอีกได้แก่ "อะไรเป็นตัวที่นำ "รหัสกรรม" ไปยังอีกภพชาติต่อไป" ประเด็นนี้ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนกันอีกยาวครับ นอกจากในชั่วโมงนี้แล้ว ผมยังมีโอกาสนำประเด็นนี้ไปถามต่อในชั่วโมงของ Prof. Dr. Perter Masefield ที่ท่านเคยทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "กรรม" มาพอดีครับ ท่านก็ยอมรับแบบ "ถ่อมตน" ว่า ท่านก็ไม่รู้
โดยภาพรวม ชั่วโมงแรกของวิชาพระอาจารย์จุดประการความอยากรู้อยากเห็นขึ้นในแววตาของเพื่อน ๆ หลายคนครับ โดยเฉพาะผม
ชั่วโมงหน้าวันที่ 23 มิถุนายน พระอาจารย์ขอเลื่อนสอนเป็น 09.00-11.30 ครับ เพราะพระอาจารย์มีภาระกิจช่วงบ่าย และขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของ "พี่เม่า" ที่จะมีวันเกิดในวันที่ 24 มิถุนายน (วันแห่งการอภิวัติประเทศไทย) จะเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพล แต่พระเพื่อนของเราครับ พวกเราก็พลอยได้รับอานิสงค์ด้วย...สาธุ
พบกันโอกาสนหน้าครับ อย่าลืมแลกเปลี่ยนความเห็นของท่านกับชุมชนครับ หากเป็นเป็นได้ "เพิ่มบันทึกใหม่" ด้วย จะดีต่อชุมชนเราเป็นอย่างยิ่งครับ
สวัสดิ์ พุ้มพวง