ปราชญ์ชาวบ้านชาวอีสานหลายท่านมี หลักคิด วิถีชีวิตทั้งในเรื่องชีวิตครอบครัว การงาน และภูมิปัญญา เพื่อแก้ไขปัญหาของตนเองภายใต้การสังเกต ผ่านการลองผิดลองถูก เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ สรุปบทเรียน สร้างเครือข่าย จนกลายเป็นภูมิปัญญา เผื่อแผ่ให้แก่ชุมชนและสังคม สามารถนำไปปฏิบัติใช้ในที่อื่นๆ ได้
ในวันที่ 4 มีนาคม 2553 สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช(มสธ.) ร่วมกับชมรมเศรษฐกิจพอเพียง กรมส่งเสริมการเกษตร จัดเสวนาเรื่อง วิถีพอเพียง:ชีวิต งานและภูมิปัญญา จากปราชญ์ชาวบ้านอีสาน ที่ตึกสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร มีปราชญ์มาร่วม 4 ท่านคือ
พ่อคำเดื่อง ภาษี ประธานสถาบันฟื้นฟูภูมิปัญญาไทย
พ่อผาย สร้อยสระกลาง ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนกลุ่มอีโต้น้อย
อาจารย์ไพรัช ชื่นศรี ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านแสงจันทร์ จังหวัดบุรีรัมย์
ลุงโชคดี ปรโลกานนท์ แหล่งเรียนรู้การเกษตรเพื่อการพึ่งตนเองและสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น
ดำเนินรายการโดย รศ.บำเพ็ญ เขียวหวาน จากมสธ.
เริ่มจากการฉายวีดีทัศน์สัมภาษณ์ ปราชญ์ 5 คนคือ
พ่อคำเดื่อง ภาษี ให้ข้อคิดถึงจุดเปลี่ยนแปลงจากเดิมปี 2549 กู้เงินจาก ธกส.มาปลูกปอ จนเป็นหนี้ พ่อมีความคิดว่าต้องไม่กู้จึงจะไม่เป็นหนี้ เงินเป็นเหยื่อ เราคือปลาและธนาคารคือคันเบ็ด เราต้องไม่เห็นแก่ตัว ใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน ให้โลกน่าอยู่และส่งต่อให้ลูกหลานดูแล
พ่อผาย สร้อยสระกลาง เมื่อก่อนนี้เป็นพระมา 10 ปี ช่วงปี 2500 จบนักธรรมเอก พื้นที่สระคูณไม่มีแหล่งน้ำๆเกิดขึ้นได้จากคน ต้องพัฒนาคนก่อน สอนคนให้รู้จักทำงานเหมือนผึ้งซึ่งมีการรวมกลุ่ม ทุกคนต้องทำงาน ใน 2 ปี มีสระ158 แห่ง ปลูกทุกอย่างทั้งของกิน ไม้ยืนต้น ไม้ประดับทำให้ชาวบ้านมีอยู่มีกิน มีหลักคิดคือร่างกายเป็นเงิน เป็นทุน เงินไม่ใช่มรดก การเกษตรมีความสำคัญ การเกษตรเลี้ยงโลก เป็นรากฝอยของประเทศ ดูดอาหารให้รากแก้วซึ่งหมายถึงชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
อาจารย์ไพรัช ชื่นศรี ได้องค์ความรู้จากการศึกษาดูงานจากปราชญ์ชาวบ้าน ได้เห็นความรู้ทั้ง 2 ด้าน จากภูมิปัญญาและเทคโนโลยี นำมาปรับใช้ น้อมนำพระราชดำริมาดำเนินการในศูนย์เรียนรู้ฯ ทำงานวิจัยกับชาวบ้านเช่นการเลี้ยงไส้เดือน การทำปุ๋ย 24 ชั่วโมง การขยายพันธุ์พืชฯลฯ เผยแพร่ให้ชาวบ้านเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม มีเกษตรกรต้นแบบ20 คนประชุมทุกเดือนที่อ.สตึก ปัจจัยสำคัญในการทำงานเรื่องนี้คือ ใจมาก่อน มีจิตอาสา
ลุงโชคดี ปรโลกานนท์ ก่อนนี้เคยทำการเกษตรที่พึ่งพิงการตลาด ทำ 2-3 ปี ไปไม่ได้ จุดเปลี่ยนคือปรับรูปแบบการผลิตใหม่นำไปสู่ความยั่งยืน คิดอยู่ 2 เรื่องคือการปลูกต้นไม้ซึ่งเป็นผู้ให้ และการเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นผู้บริโภค จึงเลือกปลูกต้นไม้ ลดพื้นที่ปลูกลง คิดใหม่เป็น ปลูกเพื่อกิน เหลือกิน จึงแปรรูปและขาย เป็นการปลูกคุณค่าก่อน ผลพลอยได้คือมูลค่า มีองค์ความรู้คือ เรียนจากคน รู้จากสวน
อาจารย์ขวัญดิน สิงห์คำ ชุมชนศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ จบครูเกียรตินิยมและเป็นครู 11 ปี การเกษตรบ้านเราขาดองค์ความรู้ จึงสนใจการทำปุ๋ยสะอาด และขยะ การทำงานใช้หลักธรรมคือศาสนา ภูมิปัญญาและเทคโนโลยีที่เหมาะสม และใช้ที่ประชุมในการปกครอง 6 ฐานงานเช่นร้านค้า สมุนไพร แชมพู ฯลฯ มีรายได้ ส่วนอีก 40 กว่าฐานงาน เป็นงานบริการ มีการขายต่ำกว่าทุนเป็นการจุนเจือ เท่าทุนเป็นการทำบุญคืนประชาชนไม่มีใครรวย ใครจน ขายต่ำกว่าทุนและแจกฟรี การทำงานต้องไม่โลภ มีความเสียสละ ทำให้เกิดมิตรมากมาย คบใคร คนนั้นก็ไม่ทิ้ง กำไรที่ได้คือมิตรและเพื่อน
ส่วนการอภิปรายจะได้เล่าต่อนะคะ
ธุวนันท์ พานิชโยทัย
10 มี.ค.53
ขอชื่นชม คุณธุวนันท์
1. สรุปได้เก่งมาก
2. นำเสนอจุดเปลี่ยน ของคนที่เราถอดบทเรียน
ขอติดตามอ่านด้วยคนค่ะ
สวัสดีครับ คุณธุวนันท์ พานิชโยทัย
แนวคิดของปราชญ์ชาวบ้านอีสาน เน้นกาพึ่งตนเอง ลดการใช้สารเคมี คิดเปลี่ยนไปจากคนทั่วไป
มองแนวทางดำเนินชีวิตล่วงหน้าจากคนทั่วไป บุคคลเหล่านี้แรกเริ่มคนทั่วไปบอกบ้า ปัจจุบันคนเริ่มยอมรับในความคิดดังกล่าว
ผมศึกษาเรื่องภูมิปัญญาจึงเห็นว่าเขาคิดได้ล้ำลึก
ขอติดตามงานเสวนาฯ ด้วยคนครับ
:)
เรียนคุณนงนาถ
ขอบคุณมากนะคะ
จือ
ขอบคุณมากคะ
เรียนคุณพรชัย
เรียนคุณพิทักษ์
ขอบคุณมากคะ
ชอบการเกษตร ชอบอาจารย์ขวัญดินครับ รักแผ่นดินอยากให้อุดมทั่วประเทศ