อาหารกับโรคฟันผุ โดยศาสตราจารย์(พิเศษ)ทันตแพทย์ไพรัช ธีรวรางกูร


อาหารเป็นปัจจัยสำคัญพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

อาหารกับโรคฟันผุ 

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ทันตแพทย์ไพรัช ธีรวรางกูร ..................................วารสาร มศว โลกทัศน์

อาหารเป็นปัจจัยสำคัญพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สัตว์โลกทุกชนิดพอตื่นขึ้นมา เพื่อปากเพื่อท้อง ต่างก็มุ่งหาอาหารเพื่อความอยู่รอดด้วยกันทั้งนั้น ฟันเป็นด่านแรก ที่ต้องขบ กัด บด เคี้ยวให้ละเอียดชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงส่งไปให้กระเพาะย่อยสลายเป็นพลังงานไปสร้างความเจริญเติบโต ไปเลี้ยงร่างกาย และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่อไป

อาหารทำให้ฟันผุได้อย่างไร

เป็นคำถามประเด็นแรกที่จะกล่าวถึงกัน

อาหารที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับฟันโดยตรงมี 3 ประเภท อาทิ

1. พืช-ผัก-ผลไม้ที่มีรสไม่หวานมาก อาหารประเภทนี้มีกากใย เรียกว่า ไฟเบอร์ สามารถช่วยทำความสะอาดฟันไปในตัวขณะบดเคี้ยวอาหาร

2. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ทั้งหลาย อาหารพวกนี้มักตกค้างอยู่ตามซอกฟัน หากไม่จำกัดภายใน 24  ชั่วโมง จะเกิดการเน่าเปื่อยทำให้มีกลิ่นปาก

3. คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ แป้ง น้ำตาล และผลไม้ที่ทีรสหวานมาก รสหวานของน้ำตาล นอกจากเป็นอาหารของคนแล้ว เชื้อแบคทีเรียก็ชอบด้วย ซึ่งผลสุดท้ายของการย่อยสลายจะกลายเป็นกรดที่สามารถทำลายผิวฟัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหลุมร่องฟัน และส่วนประชิดของฟันที่ทำความสะอาดยาก เกิดการหมักหมมเป็นเวลานาน กรดก็จะค่อยๆละลายเคลือบฟัน เนื้อฟัน และทะลุโพรงประสาทฟัน ในที่สุดด้วยการใช้เวลาเป็นปี

                น้ำตาลเป็นอาหารสุดยอดของร่างกายที่ให้พลังงาน ร่างกายหากไม่ได้รับน้ำตาลก็จะตาย ร่างกายของเราต้องการน้ำตาลเพียงวันละ 6 ช้อนชาก็อยู่ได้ นอกจากนั้นเรายังได้น้ำตาลจากแหล่งอาหารอื่นๆ เช่น ข้าว แป้ง ขนมปัง ผลไม้ ฯลฯ พวกนี้ผลสุดท้ายจะกลายเป็นน้ำตาลหมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าร่างกายจะขาดน้ำตาล

                ยกตัวอย่างผลไม้ เช่น มะม่วง รสของมะม่วงมีรสมัน รสเปรี้ยว และแป้งในช่วงแรก ต่อมาเมื่อมะม่วงแก่ ความมัน ความเปรี้ยว และแป้ง จะเปลี่ยนเป็นความหวานอมเปรี้ยวไปจนถึงหวานสุดๆ  ทุกวันนี้เรารับประทานน้ำตาลกันมากเกินไป ทำให้เกิดโรคต่างๆ อาทิเช่น โรคฟันผุ โรคเบาหวาน และโรคอ้วน  เป็นต้น แม้ไม่ถึงตาย แต่ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานและสูญเสียสุขภาพไปในที่สุด

อาหารตามธรรมชาติ                โดยไม่ปรุงแต่งก็พอเพียงสำหรับที่จะได้รับน้ำตาลอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันบรรดาพวกหัวใสทางการพาณิชย์ทั้งหลายหาสูตรปรับปรุง ดัดแปลง ตกแต่งอาหารธรรมชาติให้กลายเป็นขนมหวานนานาชนิด นานาชาติ ทำเอาคนทั้งโลกติดขนมกันงอมแงม น้ำตาลเป็นสิ่งเสพติดอ่อนๆ ชนิดหนึ่ง  ที่ผู้บริโภคชอบรับประทานกันเป็นประจำ ในรูปของรสหวาน  ของว่าง  เรียกว่า  เพื่อล้างปากหลังอาหาร เห็นไอศกรีม คุกกี้ ขนมเค้ก ช็อกโกแลตไม่ได้ เป็นต้องน้ำลายไหล ขนมหวานของไทยๆ  ก็มีน้อยเสียเมื่อไหร่ ต้องขอหม่ำกันเสียหน่อยจนเป็นนิสัย บุคคลที่ชอบของพวกนี้อดของหวานยาก วันไหนไม่ได้รับประทานของหวาน จะโหย หงุดหงิด ไม่สดชื่น เรียกว่ามี  Irritable syndrome แต่ไม่ถึงกับลงแดง เหมือนอดเหล้า อดบุหรี่ อดยาบ้า  ฯลฯ  นอกจากนั้นยังพบว่าหมีที่ชอบกินน้ำผึ้งมีอัตราการเกิดโรคฟันผุมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น                เด็กที่พ่อแม่ผู้ปกครองรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเลี้ยงเด็กด้วยนมหวานแทนนมแม่ ทำให้เด็กเสียนิสัย ติดรสหวานตั้งแต่เล็ก หลังจากดูดนมแล้วนอนหลับไปหัวนมยังคาอยู่ที่ปาก เกิดกรด ก่อให้เกิดฟันผุ เด็กพวกนี้มีโอกาสเกิดโรคฟันผุได้ง่าย ซึ่งเห็นอยู่เป็นประจำ เป็นการเพาะนิสัยการกินอาหารปรุงแต่งที่มีรสหวานจัด ไม่เป็นไปตามธรรมชาติตั้งแต่เกิดลักษณะของฟันผุ

                จะพบได้ตั้งแต่เริ่มเป็นจุดขาวๆ ค่อยๆขุ่นเป็นสีเหลือง ไปจนถึงสีน้ำตาล และสีดำในที่สุด จากนั้นรูฟันผุจะค่อยๆขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นโพรง เมื่อถึงจุดนี้ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเสียวฟัน เศษอาหารติด ต่อไปฟันผุจะขยายขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มมีอาการปวดและลามถึงทะลุโพรงประสาทฟัน ถึงขั้นนี้จะมีอาการปวดฟันอย่างมากตามมา ต้องทนทุกข์ทรมานมากบ้าง น้อยบาง แล้วแต่ความรุนแรง

ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุของฟันผุ

ลักษณะของฟัน ฟันจำนวน 32 ซี่ในช่องปาก  จะมีขนาดและรูปร่างต่างกัน แบ่งได้เป็น 3 ประเภท  คือฟันตัดซี่หน้า ฟันกรามน้อย ฟันกรามใหญ่ ปกติแล้วโครงสร้างของฟันจะแข็งแรงที่สุดในร่างกาย การดูแลรักษาให้ดีจะไม่เกิดฟันผุเลย แต่ถ้าหากโครงสร้างของฟันไม่สมบูรณ์หรือถูกทำลาย จะทำให้กรดละลายเคลือบฟันและเนื้อได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟันกรามที่มีหลุมมีร่อง จะเป็นที่ติดของอาหารได้ง่าย ส่วนฟันเขี้ยวจะพบว่าอัตราการเกิดโรคฟันผุนั้นน้อยมากว่าฟันซี่อื่น

คราบจุลินทรีย์ จะพบเป็นคราบขาวๆ ที่อ่อนนิ่มบนตัวฟัน อันประกอบด้วยอาหารอ่อนและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุตัวการสำคัญในการสร้างกรดไปทำลายผิวฟันและหลุมที่เป็นที่คั่งค้างของเศษอาหาร

ระยะเวลา เวลาที่เชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่ที่ผิวฟันนาน เป็นส่วนสำคัญอย่างมาก อีกเช่นกันที่กรดอ่อนๆ จากการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต ก่อให้เกิดโรคฟันผุ ฉะนั้น ก่อนนอนควรแปรงฟัน เพราะตอนกลางคืนเป็นช่วงที่เชื้อโรคและกรดเกาะติดอยู่กับที่ นานมากกว่าตอนกลางวัน ขณะที่เวลาตื่น เราจะพูดจะกิน จะขยับปาก น้ำลายและลิ้นจะทำให้เชื้อโรคเคลื่อนไหวโจมตีได้ไม่นานเท่าตอนกลางคืน ฟันผุที่พบบ่อย ได้แก่ ฟันหน้ากลางซี่บน และฟันกรามซี่ที่ 1

เพราะฟันทั้งสองซี่ขึ้นก่อนนานกว่าฟันซี่อื่นๆ และขณะที่ยังเป็นเด็กเล็กไม่ประสีประสา ขาดความเอาใจใส่เท่าที่ควร จึงจำเป็นที่ผู้ปกครองควรช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่บุตรตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยการหมั่นทำความสะอาดฟันให้ถูกต้องเป็นประจำ โรคฟันผุก็จะน้อยลง เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

การป้องกันโรคฟันผุ สามารถทำได้ดังนี้

1. หมั่นตรวจสุขภาพฟันสม่ำเสมอ โดยทั่วไปควรตรวจฟันโดยทันตแพทย์ อย่างน้อยปีละ  2  ครั้ง2. แปรงฟันให้ถูกวิธี โดยเน้นให้ขนแปรงได้สัมผัสกับเหงือกและฟันทุกซี่ โดยเฉพาะบริเวณคอฟัน ซอกฟัน และหลุมร่องฟัน จะช่วยลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญทำให้ฟันผุ3. การใช้ฟลูออไรด์ ปัจจุบันมีการรณรงค์ให้ใช้ฟลูออไรด์กันมากขึ้น ผสมในยาสีฟันแทบทุกยี่ห้อ รวมไปถึงการให้เด็กรับประทานยาเม็ดฟลูออไรด์ ตามคำแนะนำของทันตแพทย์

4. ควรคุมการรับประทานอาหารประเภทน้ำตาล ควรลดปริมาณการบริโภคของหวานทุกชนิด รวมทั้งน้ำหวาน น้ำอัดลม จะช่วยลดภาวการณ์เกิดกรดที่เป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดการย่อยสลายผิวฟันทีละเล็กทีละน้อย จนทำให้เกิดโรคฟันผุได้

            ดังนั้นควรไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนให้เป็นนิสัย ไม่ปล่อยปละละเลย แล้วจะเคยชิน ไม่หวาดกลัว เพื่อจะได้รับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้องทันเวลา เป็นการขจัดปัญหาฟันผุ ปวดฟัน และถอนฟันในที่สุด การไปหาทันตแพทย์ ไม่น่าหวาดกลัวย่างที่คิด แล้วเราจะมีฟันไว้รับประทานอาหารกันให้อร่อย มีสุขภาพดี อายุก็จะยืน มีความสุขตลอดชีวิต หนทางหนึ่งที่ควรนึกถึง

                                                           *********************************  
หมายเลขบันทึก: 34309เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 2006 11:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 19:18 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท