ดินแดนแห่งอาณาจักรล้านช้าง หรือที่เรียกกันว่า “กรุงศรีสัตนาคนหุต” เป็นดินแดนทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ตั้งอยู่ระหว่างดินแดนล้านนากับแคว้นอันนัม ( ประเทศเวียตนามในปัจจุบัน ) ในยุคที่อาณาจักรล้านช้างยังคงรุ่งเรืองอยู่นั้น ได้ขยายอาณาเขตทางทิศเหนือไปจนถึงสิบสองปันนาในยูนนาน รวมบริเวณแม่น้ำโขงยาวลงไปถึงกัมพูชา การติดต่อค้าขายกับอาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียงจึงใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นทางหนึ่งในการเดินทาง ผลจากความสัมพันธ์อันดีที่เกิดจากการผูกสันถวไมตรีระหว่างอาณาจักรหรือดินแดนใกล้เคียง ทำให้สันนิษฐานว่า เงินตราที่พบในอาณาจักรล้านช้าง ส่วนหนี่งได้รับอิทธิพลการผลิตเงินตราของเวียตนามและจีน ทั้งในด้านรูปแบบและระบบอัตราเงินที่ไม่ตายตัว กล่าวคือแต่ละชุมชนสามารถผลิตเงินที่มีรูปแบบและน้ำหนักตามมาตรฐานของตน ในขณะเดียวกัน ได้รับเงินตราจากต่างแดนเข้ามาใช้ด้วย เช่น เงินพดด้วงและเบี้ยของสุโขทัย เงินอีแปะของจีน เงินรูปีของพม่า เงินหริ่งหรือติ่งและเงินแท่งของญวน และเงินขาคีมของล้านนา ดังนั้น การใช้เงินของอาณาจักรจึงมีทั้งเงินของตนเองและเงินที่รับมาจากอาณาจักรอื่นๆ ปะปนกันไป
เงินตราของอาณาจักรล้านช้างที่พบ ได้แก่
เงินฮาง ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ร้อยละ ๙๘ ขึ้นไป มีน้ำหนักหกตำลึงหกสลึง ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขอบโดยรอบ ที่เรียกว่า “เงินฮาง” เพราะลักษณะคล้ายรางหญ้าม้าหรือรางข้าวหมู คำว่า “ฮาง” มีความหมายว่า “ราง” ในภาษาไทย
เงินตู้ หรือ เงินฮางน้อย ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ประมาณร้อยละ ๘๘-๙๐ มีน้ำหนักต่างกันหลายขนาด ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายเงินฮาง แต่ไม่มีขอบสูง และท้องไม่เป็นร่องลึก ด้านหน้ามีรอยบุ๋มคล้ายนิ้วมือกด คำว่า “ตู้” เป็นภาษาลาว มีความหมายว่าไม่มีขอบและริม
เงินฮ้อย ทำด้วยเนื้อเงินผสมทองและทองเหลือง มีรูปร่างคล้ายเรือชะล่าหรือกระสวยทอหูก หัวท้ายเรียวเล็กน้อย ด้านบนมีตุ่มทั่วไปคล้ายตัวบุ้ง มีราคาต่างกันตามเนื้อเงิน เงินฮ้อยที่พบบางแท่งมีอักษรไทยประทับไว้ ๓ จุด บริเวณปลายทั้ง ๒ ข้าง และตรงกลาง เช่น “กก” หมายถึง จังหวัดเชียงราย “หม” หมายถึง จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นหลักฐานได้ประการหนึ่งว่า มีการติดต่อค้าขายกันระหว่างอาณาจักรล้านช้างและล้านนา
คำว่า “ฮ้อย” มาจากมาตราชั่งของชาวศรีสัตนาคนหุต ซึ่งกำหนดเรียกน้ำหนักสิบบาทว่า “ ฮ้อยหนึ่ง” ในระยะแรก เงินฮ้อยมีน้ำหนักสิบบาททั้งสิ้น โดยเงินฮ้อยแต่ละแท่งมีมูลค่าแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเนื้อเงินที่เจือปนอยู่ ได้แก่ ฮ้อยน้ำสาม หมายถึง มีเนื้อเงินสามส่วน ทองลงหินเจ็ดส่วน ใช้เป็นราคาสามบาท ฮ้อยน้ำหก มีเนื้อเงินหกส่วน ทองลงหินสี่ส่วน ใช้เป็นราคาหกบาท และฮ้อยน้ำแปด มีเนื้อเงินแปดส่วน ทองลงหินสองส่วนใช้เป็นราคาแปดบาท แต่ในระยะหลัง มิการทำเงินฮ้อยที่มีน้ำหนักและเนื้อเงินต่างๆ กัน
เงินลาดหรือทองลาด มีลักษณะคล้ายเงินฮ้อยแต่เรียวเล็กกว่า หล่อด้วยทองแดงผสมทองเหลือง มีขนาดแตกต่างกัน มีตราประทับอย่างน้อย ๓ ตรา เช่น ตราช้าง เต่า จักร ปลา ดอกจัน ฯลฯ นอกจากนี้ ยังพบเงินลาดลักษณะเป็นรูปกระสวยและมีร่องตรงกลาง แต่ไม่มีตราประทับ
เนื่องจากคำว่า “ลาด” หมายถึง “ตลาด” ซึ่งชาวลาวมักพูดว่า “ไปตลาดลาดรี” หรือ “ตลาดลาดรี” จึงสันนิษฐานว่า เงินลาดใช้เป็นเงินปลีกสำหรับใช้สอยเบ็ดเตล็ด
มีเงินอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า “เงินลาดฮ้อย” หล่อด้วยทองลงหิน ทำขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย เพื่อนนักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์
วาทิน ศานติ์ สันติ : เรียบเรียง
ไม่มีความเห็น