ต้องบอกว่า น่าแปลกใจนะคะ ว่าทำไมช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
ลูก 3 คนเรียนระดับประถมและมัธยมมาแล้วที่ออสเตรเลีย โรงเรียนที่โน่นเขามีนโยบายเหมือนกันเลยว่า สุดสัปดาห์จะไม่มีการบ้าน งานที่เป็นการบ้านของโรงเรียนที่ Perth (ไม่แน่ใจว่าที่อื่นในออสเตรเลียเป็นอย่างไร) จะถูกกำหนดไว้ว่าให้ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ส่วนใหญ่เป็นการอ่านหนังสือให้เราฟัง ถ้าเป็นรายงานในระดับมัธยม ก็จะไม่มีชนิดสั่งวันนี้เอาภายในสัปดาห์นี้ มักจะให้เวลายาวนานและมีแหล่งให้หาข้อมูลมากมายในห้องสมุดประชาชน (ไม่ต้องพูดถึง internet) ทำกันแบบสบายๆ เวลาเหลือเฟือ
ตัวเองเรียนเมืองไทยมาตลอดชีวิตนักเรียนประถม มัธยม ก็คุ้นชินกับการทำการบ้านมาแล้วมากมาย แต่พอมาถึงรุ่นลูก ทำไมจึงรู้สึกว่ามันช่างมากมาย หนักหนาสาหัสกว่าสมัยเราเช่นนี้ (ผสมกับปัญหาทางภาษาที่ยังมีหลงเหลืออยู่บ้างด้วยก็ไม่น่าจะมากนัก)
สัปดาห์นี้ เมื่อวานช่วยพี่เหน่นอ่านและย่อยบทเรียนศีลธรรมจนถึง 3 ทุ่มครึ่ง หลังจากที่พี่เหน่นจัดการกับการบ้านเลขเสร็จเรียบร้อยไปแล้ววันนี้ช่วยพี่วั้นแปลงสาร คือแก้สำนวนภาษาไทยในรายงานวิชาเคมีจนถึง 4 ทุ่ม ส่วนน้องฟุงทำการบ้านวิชาต่างๆเสร็จแล้ว เหลือแต่อ่านหนังสือไทย ประมาณ 5-6 หน้า A4 น้องอ่านครึ่งหนึ่งกับคุณพ่อ ครึ่งหนึ่งกับคุณแม่ ใช้เวลามากพอควร (แต่การบ้านอันนี้สมควรให้ค่ะ อ่านเก่งขึ้นมากแล้วและอ่านอย่างสนุกสนาน) เกินเวลานอนตามเคย วันก่อนมีท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ-ไทยเล่มเล็กๆ หน้าละประมาณ 5-6 คำ ที่ร้ายก็คือต้องท่องสัก 20 หน้าได้ แล้วทุกคำผู้ปกครองต้องเซ็นรับทราบ (ใคร้...ใคร...ช่างสรรหาเรื่อง) กับมีที่สำหรับคุณครูเซ็นทุกคำเหมือนกัน
เหนื่อยแทนเด็กไทยจังเลยค่ะ ดูปริมาณงานการบ้านของลูกในแต่ละวันแล้ว คิดคำนวณจำนวนการบ้านที่คุณครูของลูกต้องตรวจ เอาแบบเบาะๆ ห้องละ 30 คน (รู้สึกว่าปกติจะมากกว่านี้) แล้วสงสัยว่าคุณครูไทย ทำได้อย่างไรคะ....ของเราแค่ 3 คนคนละวิชาเท่านั้น พ่อแม่ก็หมดแรงแล้ว
จากที่เคยเห็นลูกนั่งอ่าน pocket book หรือพักผ่อนแบบอื่นๆในแต่ละวันเมื่อกลับจากโรงเรียน มาเป็นกลับมาถึงบ้าน ก้มหน้าก้มตา งุดๆทำการบ้าน พักทานข้าวเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มาตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้านต่อให้เสร็จ เพื่อให้ไม่เกินเวลานอนมากไป (ปกติเป็น 2 ทุ่มครึ่ง ตอนนี้เริ่มต้องเลื่อนเป็น 3 ทุ่มเสียแล้ว)
ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี...
เห็นด้วยกับคุณโอ๋ค่ะ นอกจากการบ้านจะเยอะแล้ว เดี๋ยวนี้ระบบการศึกษายังเปลี่ยนไปจากสมัยเรายังเด็ก บางวิชาซึ่งเป็นเรื่องใหม่ เช่น วิชา WISE KID คุณพ่อถึงขนาดต้องไปหาคุณครูเพื่อให้ช่วยติวเป็นการส่วนตัว ไม่งั้นกลับมาสอนลูกไม่ได้ค่ะ
ก็ไม่รู้จะเห็นด้วยดีมั๊ยนะคะเกี่ยวกับเรื่องการบ้าน แต่อะไรที่เยอะเกินไปหรือน้อยเกินไปมันคงไม่ดีแน่ค่ะ แต่เรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไปของเด็กเนี่ยยังไงก็ยังไม่เห็นด้วยค่ะ แต่เราจะโยนความผิดโดยการโทษการให้บริการโทรศัพท์มือถืออย่างเดียวไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเค้าทำไปเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจที่มีแต่การแข่งขัน ถ้าเค้าไม่หาโปรโมชั่นใหม่ๆเค้าก็อยู่ไม่รอดและเราก็ห้ามหรือสอนเค้าไม่ได้ด้วย (แต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขตของกฏหมาย) แต่เด็กที่อยู่ในปกครองของเรา เราควรจะสอนให้เค้าใช้อย่างถูกวิธีและถูกต้องมากกว่านะคะหรือถ้าเค้ายังเล็กเกินไปก็ไม่ควรให้ใช้ เพราะว่าจะเป็นการปลูกฝังนิสัยการใช้โทรศัพท์เกินความจำเป็นซึ่งก็อาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี
ในความเห็นของผู้เขียนเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงน่าจะเริ่มที่ตนเองและครอบครัวก่อน เพราะถ้าทุกคนเริ่มที่ตนเองและครอบครัว จากจุดเล็กๆมันก็จะค่อยๆขยายตัวขึ้นสู้ระดับประเทศค่ะ แต่ถ้าจะให้เริ่มจากระดับใหญ่ลงสู่ระดับเล็กมันคงจะเป็นไปได้ยากกว่านะคะ
สวัสดีค่ะ
เรื่องการบ้าน เดี๋ยวนี้ ไม่ทราบว่ามีมากกว่าเดิมไหม สมัยลูกอยู่เซ็นคาเบรียลก็มีมากมาตลอด แต่ให้เขาเรียนพิเศษตอนเลิกเรียน รอแม่ไปรับ พอกลับถึงบ้านก็เล่น อาจยังมีอีกนิดหน่อยไม่มากค่ะ
พอโต อยู่ม.2 ตอนเย็นบางวันไปเรียนพิเศษที่เตรียมอุดม เพื่อสอบเข้า ตอนม.4
อยู่เตรียมอุดม มีการบ้านมากทุกวัน ไม่งั้นไม่ทันเพื่อน
จยสอบเข้าวิศวะแล้ว จึงหมดการบ้าน
สรุป มีการบ้านมากมาตลอด เด็กก็ไม่ค่อยเครียดเพราะ ชินค่ะ เด็กไม่ค่อยมีเวลาพูดโทรศัพท์หรือทำให้พ่อแม่กังวลเท่าใด
เคยถามลูกว่า เหนื่อยไหม เขาบอก ไม่เหนื่อย
คิดว่า มีการบ้านมากจนชินค่ะ
ตอนนี้ ได้ข่าวว่า เด็กๆมีการบ้านมากตั้งแต่เด็กเล็กเลย แต่ไม่ได้เข้าไปดูใกล้ชิดว่า เป็นการบ้านอะไร
ส่วนตัว มีความเห็นว่า เดินสายกลางดีที่สุด วันเสาร์ อาทิตย์ให้เด้กได้พักบ้างบ้างค่ะ