การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย มีดังนี้
1. การสร้างความผูกพันรักใคร่ เป็นพื้นฐานสำคัญในการอบรมเลี้ยงดู พ่อ – แม่ ผู้ปกครองจะต้องเริ่มสร้างความผูกพันรักใคร่ให้เกิดขึ้น ตั้งแต่เด็กยังอยู่ในวัยแรกเกิด พ่อแม่ ผู้ปกครองได้สัมผัสลูกอย่างอ่อนโยน อุ้มอย่างทะนุถนอม เลี้ยงดูเอาใจใส่ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับเด็ก ดูแลความสุขสบายต่าง ๆ พูดคุยกับเด็กด้วยเสียงที่นุ่มนวล เป็นต้น สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้การอบรมในวัยเด็กได้ผลดี อีกทั้งยังเป็นการสร้างความผูกพันรักใคร่ให้เกิดกับเด็กอีกด้วย
2. ระบบการให้รางวัลทางด้านบวก เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเด็กได้กระทำพฤติกรรมที่พึงปรารถนา จะมีการให้รางวัลหรือสิ่งตอบแทน เช่น ความรัก ความสนใจ คำชมเชย ซึ่งจะทำให้การกระทำนั้น ๆ เกิดขึ้นอีก
3. พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้มีศีลธรรม ประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม และถูกต้อง
4. การควบคุมสิ่งแวดล้อม พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องจัดสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เช่น การจัดให้เล่นเกมเพื่อเด็กจะได้รู้จักกฎเกณฑ์ และการรู้แพ้รู้ชนะ การจัดหาหนังสือที่มีประโยชน์อ่านให้เด็กฟัง เพื่อให้เกิดนิสัยรักการอ่าน เป็นต้น
5. วิธีการตอบสนองกลับ เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดเพื่อแสดงความรู้สึกของตนออกมาทั้งทางบวกและทางลบ เมื่อเด็กมีปัญหาพ่อแม่ผู้ปกครองควรตัดสินใจฟังเด็กว่ากำลังพูดอะไร เมื่อเด็กพูดจบพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องสะท้อนความรู้สึกที่เด็กได้แสดงออกกลับไป ด้วยคำพูดของพ่อแม่ผู้ปกครองเอง ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่า อันจะส่งผลให้พ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กเข้าใจได้ตรงกัน
6. การควบคุมพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ พ่อแม่ผู้ปกครองควรควบคุมพฤติกรรมเหล่านี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับปัญหา วิธีการที่ใช้ในการแก้ปัญหาได้แก่
6.1 การแยกเด็กออกจากกลุ่มในช่วงเวลาสั้น ๆ
6.2 การแยกตัวของพ่อแม่ผู้ปกครอง
6.3 การห้ามไม่ให้เด็กทำสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับตัวเด็กในช่วงเวลาหนึ่ง
6.4 การตี จะใช้ก็ต่อเมื่อใช้วิธีการอื่นไม่ได้ผลแล้ว ไม่ควรทำกับเด็ก 2 ขวบ และไม่ควรกระทำอย่างรุนแรง
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่ไม่เหมาะสม
วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่ไม่เหมาะสม มีดังนี้
1. การสั่งสอนไม่ควรเป็นการเทศนา เพราะจะทำให้เด็กเบื่อ ไม่สนใจใยดีที่จะฟัง ดังนั้นในการอบรมเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องสอนด้วยเหตุผลสั้น ๆ อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย
2. การดุด่า ไม่ควรนำมาใช้เพราะจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเกลียดพ่อ แม่ ผู้ปกครอง
3. การขู่ พ่อแม่ผู้ปกครองมักใช้คำขู่เด็กเมื่อมีความโกรธหรือเด็กไม่ยอมทำตาม หรือไม่เชื่อฟัง ดังนั้น ในการสอนหรืออบรมเด็กไม่ควรนำคำขู่มาใช้
4. การพูดเสียดสี เหน็บแนม หรือ ถากถาง ที่พ่อแม่ผู้ปกครองประสงค์ทำเพื่อประชดหรือให้เด็กได้เจ็บโดยหวังว่าเด็กจะมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น แต่ในข้อเท็จจริงแล้วกลับกลายเป็นการทำลายสัมพันธ์ภาพระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองกับเด็ก
5. การสัญญา สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็ก ควรอยู่บนพื้นฐานของความ เชื่อถือ เชื่อใจซึ่งกันและกันไม่ใช่การสัญญา
6. การติดสินบน จะทำให้เด็กทำดีเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้วจะไม่ได้ผล เพราะไม่สามารถติดตัวเด็กเป็นนิสัยได้
7. การหลอกหรือหยอกล้อเด็กในทางที่ไม่ควร เพื่อหวังผลให้เด็กหยุดพฤติกรรมที่กำลังทำอยู่ หรือเพื่อความสนุกสนาน นอกจากจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกกลัวโดยไร้เหตุผลแล้ว ยังเป็นการขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของเด็กอีกด้วย
บทบาทของพ่อแม่ ผู้ปกครองในอบรมการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย
พ่อแม่ ผู้ปกครองนอกจากจะเลี้ยงดูเด็กให้มีร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วยังจะต้องมีการพัฒนาทางจิตใจ และทางสังคมในเชิงจิตวิทยาให้กับเด็กด้วย บทบาทของพ่อแม่ ผู้ปกครองในการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย มีดังนี้
1. การตอบสนองความต้องการพื้นฐานของเด็กอย่างเพียงพอ ซึ่งความต้องการพื้นฐานของเด็กแต่ละวัยไม่เหมือนกัน เด็กแรกเกิดจะมีความต้องการทางร่างกายมาก ดังนั้นพ่อแม่ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน การนอน การขับถ่าย และเมื่อเด็กโตขึ้นควรให้ความมั่นคงปลอดภัย ความอบอุ่นและความรัก
2. การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการพัฒนาการของเด็ก ซึ่งได้แก่ การจัดให้เด็กได้พบกับสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาของเด็ก การเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กเลียนแบบ เป็นต้น
3. การยอมรับในสิทธิของความเป็นคนของเด็ก การอบรมเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่ ผู้ปกครองมักจะมี 2 แบบ (ฉวีวรรณ กินาวงศ์. 2533 : 88-91) คือ 1) แบบอัตตาธิปไตยหมายถึง การที่พ่อแม่ผู้ปกครองใช้กฎเกณฑ์ตายตัวและทำทุกอย่างตามกฎเกณฑ์เด็กที่ทำผิดมักจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง และ 2) แบบประชาธิปไตย คือ การอบรมเลี้ยงดูเด็กอย่างมีเหตุผล ให้เด็กมีสิทธิเสรีภาพการยอมรับในสิทธิความเป็นคนของเด็ก
ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและผลต่อพฤติกรรมของเด็ก
ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวและผลต่อพฤติกรรมของเด็ก มีลักษณะ ดังนี้
1. ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่ หมายถึง บทบาทของพ่อแม่ของเด็กในฐานะคู่สมรสจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ที่มีต่อพฤติกรรมของเด็กเป็นดังนี้ (ฉวีวรรณ กินาวงศ์. 2533 : 84)
1.1 ครอบครัวที่เรียกว่า “บ้านแตก” (Broken Home) ซึ่งได้แก่ ครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน หรือแยกกันอยู่ จะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องของการปรับตัวและทำให้เด็กมีพฤติกรรมเกเร มีปมด้อย เป็นโรคประสาท
1.2 ครอบครัวที่พ่อแม่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตสมรสได้ดี เช่น ทะเลาะกันบ่อย ๆ จะทำให้เด็กมีปัญหาได้
1.3 ครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้แก่เด็ก จะทำให้เด็กรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง ขาดความรักและความเอาใจใส่ อาจส่งผลให้เด็กมีบุคลิกลักษณะไม่ดีเท่าที่ควร
1.4 เด็กกำพร้า เช่น พ่อแม่เสียชีวิต หรือแต่งงานใหม่ จะส่งผลต่อการปรับตัวของเด็กเป็นอย่างมาก
1.5 ครอบครัวที่มีบรรยากาศเป็นกันเอง พ่อแม่รักใคร่กันดี จะช่วยให้เด็กเจริญเติบโตไปในทางที่ดีและเด็กจะไม่มีปัญหา
2. ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก หมายถึง ความรู้สึกที่พ่อแม่มีต่อลูกและความรู้สึกที่ลูกมีต่อพ่อแม่ ความสัมพันธ์แบบนี้มักจะขึ้นอยู่กับเจตคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ทั้งนี้เพราะพ่อแม่มีเจตคติต่อลูกอย่างไร ก็จะปฏิบัติต่อลูกอย่างนั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 แบบ ดังนี้ (ฉวีวรรณ กินาวงศ์. 2533 : 84-87)
2.1 พ่อแม่รักและคอยช่วยเหลือเอาใจใส่ลูกมากเกินไป ผลที่พ่อแม่ตามใจเด็กมากเกินไป ทำให้เด็กต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา เด็กไม่กล้าทำอะไรเอง ตัดสินใจอะไรตามลำพังไม่ได้ เมื่อเข้าโรงเรียนจะประสบปัญหายุ่งยากต่าง ๆ
2.2 พ่อแม่เอาใจลูกมากเกินไป พ่อแม่ประเภทนี้จะตามใจลูกและยอมลูกทุกอย่างต่อไปเด็กพวกนี้จะเป็นคนที่ดื้อรั้น ไม่ยอมฟังผู้ใหญ่ และเอาแต่ใจตนเอง
2.3 พ่อแม่ที่ทอดทิ้งเด็ก พ่อแม่ประเภทนี้จะไม่เอาใจใส่เด็ก ไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพของเด็ก ผลของการที่พ่อแม่ทิ้งเด็กมากเกินไปจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว ชอบเรียกร้องความสนใจ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ชอบทะเลาะกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ หรือเป็นเด็กที่ยอมแพ้ผู้อื่น ขี้อาย ขลาดกลัว และมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง
2.4 พ่อแม่ยอมรับเด็ก พ่อแม่ประเภทนี้จะยอมรับและเห็นความสำคัญของเด็กทำให้เด็กเกิดความอบอุ่น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และเด็กเป็นไผปอย่างราบรื่น
2.5 พ่อแม่ที่ชอบบังคับลูก พ่อแม่ประเภทนี้จะให้เด็กทำตามทุกอย่าง เด็กจะมีพฤติกรรมทางสังคมดี มีสัมมาคารวะมากกว่าเด็กที่พ่อแม่ปล่อยให้เป็นอิสระ แต่อย่างไรก็ตามเด็กพวกนี้จะเป็นคนขี้อาย มีความรู้สึกไวต่อสิ่งที่มากระทบกระเทือน มีปมด้อย ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
2.6 พ่อแม่ยอมจำนนต่อลูก พ่อแม่ประเภทนี้จะยอมให้ลูกเป็นใหญ่ มีสิทธิภายในบ้านลูกต้องการอะไรพ่อแม่จะหามาให้ทั้งสิ้น จะทำให้ลูกทำตัวเป็นนายข่มพ่อแม่ ไม่ค่อยเคารพนับถือพ่อแม่เท่าที่ควร
การพัฒนาการและความพร้อม : ด้านร่างกายอารมณ์ – จิตใจ และสังคม
ความพร้อมทางการเรียน หมายถึง สภาพความพร้อมในด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ – จิตใจ และสติปัญญาของเด็กที่จะเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างบังเกิดผล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะ หรือ การฝึกฝนหรือทั้งสองอย่างประกอบกันก็ได้
พัฒนาการและความพร้อมทางด้านร่างกาย
จุดมุ่งหมายของการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย
การจัดประสบการณ์หรือการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายให้แก่เด็กในระดับชั้นอนุบาลศึกษา มีจุดมุ่งหมาย ดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2537ก : 3)
1. มีร่างกายเจริญเติบโตตามวัย
2. พัฒนากล้ามเนื้อและประสาทสัมพันธ์
3. มีสุขนิสัยในการรักษาสุขภาพอนามัย
4. เรียนรู้การระวังและรักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า จุดมุ่งหมายของการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายเพื่อต้องการให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ มีน้ำหนัก ส่วนสูงตามเกณฑ์ที่กำหนด สามารถใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง การกระโดด ใช้มือรับสิ่งของ ตัดกระดาษ วาดภาพ หรือใช้เชือกร้อยวัสดุขนาดเล็ก – ใหญ่ได้
การวัดและประเมินความพร้อมทางด้านร่างกาย
การวัดและประเมินความพร้อมทางด้านร่างกาย จะวัดและประเมินใน 3 ส่วน คือ การเจริญเติบโตและภาวะโภชนาการ การทำงานของกล้ามเนื้อใหญ่ และการทำงานของกล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ ซึ่งพฤติกรรมที่จะวัดและประเมินมีดังนี้
1. การเจริญเติบโตและภาวะโภชนาการ ระยะวัยทารกขนาดของร่างกายของเด็กจะเพิ่มขนาดทุกส่วนโดยเฉพาะประสาทและสมองจะมีอัตราสูงสุดในวัยแรกเกิดถึงช่วงปฐมวัย เส้นรอบวงศีรษะ (Fronte Occipital Circumference) ซึ่งเป็นส่วนของร่างกายที่ใหญ่ที่สุดในทารกแรกเกิด เทียบได้เป็น 2/8 หรือ ¼ ของส่วนสูงทั้งหมด แล้วจะค่อย ๆ ลดอัตราการเพิ่มขนาดลงจนเมื่ออายุ 18 ปี ศีรษะจะมีขนาดเป็น 1/8 ของส่วนสูงทั้งหมด (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2535 : 39) เด็กอายุ 3 – 5 ปี จะมีขนาดเส้นรอบวงศีรษะประมาณ 49.5 – 52.1 เซนติเมตร มีความสูงประมาณ 96-116 เซนติเมตร และจะมีน้ำหนักประมาณ 4-6 เท่าของน้ำหนักแรกเกิด
ตาราง 3.1 อัตราการเจริญเติบโตของเด็กตั้งแต่แรกเกิด - 6 ปี
อายุ |
น้ำหนัก (Kg) |
ส่วนสูง (Cm) |
ขนาดเส้นรอบวงศีรษะ (Cm) |
แรกเกิด |
3 |
50 |
33 – 35 |
4 – 5 เดือน |
6 |
65 |
40 |
1 ปี |
9 |
76 |
46 |
2 ปี |
12 |
87 |
48.5 |
3 ปี |
14 |
96 |
49.5 |
4 ปี |
15 |
103 |
51 |
5 ปี |
16.5 |
108 |
52.1 |
6 ปี |
18 |
116 |
53.1 |
2. การทำงานของกล้ามเนื้อใหญ่ เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประสานงานของกล้ามเนื้อใหญ่ หรือกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ได้แก่ การเดินตามเส้นที่กำหนดการกระโดดสองเท้า การปีนป่าย การเตะบอล การขว้างลูกบอล การเดินสลับเท้าขึ้น – ลงบันได เป็นต้น
เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ อาจแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
2.1 การสังเกตและจดบันทึก ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษา อาจใช้วิธีการสังเกตทักษะความสามรถในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่บริเวณแขน ขา ในขณะวิ่งเล่น หรือการเล่นเครื่องเล่นสนามแล้วจดบันทึกพฤติกรรมที่สังเกตได้เอาไว้ เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม
2.2 การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง ครูผู้สอนอาจพูดคุยซักถามผู้ปกครองถึงความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็กในขณะอยู่ที่บ้าน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็ก
3. การทำงานของกล้ามเนื้อเล็ก เป็นความสามารถของการทำงานที่ประสานกันระหว่างประสาทและกล้ามเนื้อ ร่างกายจะแสดงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับการทำงานที่ประสานกันของระบบประสาท ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างประสาทตากับกล้ามเนื้อมือ ตัวอย่างพฤติกรรมของนักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่สอง ได้แก่ การเป็นวัสดุเป็นรูปต่าง ๆ อย่างอิสระโดยมีเค้าความจริงและมีรายละเอียด ใช้เชือกร้อยวัสดุได้ ตัดกระดาษตามแนวเส้นตรงและเส้นโค้งได้ เทน้ำหรือทรายเต็มแก้ว หรือกรอกใส่ขวดได้ พับกระดาษตามรอยประทแยงมุม 3 ทบได้ การวางบล็อกขนาด 1 ´ 1 นิ้ว เรียงซ้อนกันได้ประมาณ 10 ก้อน วาดรูป ตามแบบได้ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2537ก : 14 – 15)
เครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็ก แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ
3.1 การสังเกตและจดบันทึก
3.2 การใช้แบบทดสอบ
3.3 การตรวจผลงานเด็ก
3.4 การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง
3.1 การสังเกตและจดบันทึก ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษาอาจจะใช้วิธีการสังเกตทักษะความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ในขณะที่เด็กทำกิจกรรม เช่น การร้อยลูกปัด การต่อบล็อก การระบายสี การตัดกระดาษตามรอย เป็นต้น แล้วบันทึกผลที่ได้จากการสังเกตลงในแบบบันทึกเอาไว้ เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมหรือเพื่อส่งเสริมพัฒนาการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
3.2 การใช้แบบทดสอบ ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษาอาจจะใช้แบบทดสอบ เพื่อวัดและประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ แบบทดสอบนี้ส่วนมากมักจะเป็นแบบทดสอบที่ให้เด็กลากเส้นชนิดต่าง ๆ หรือวาดรูปภาพตามแบบ ซึ่งแบ่งออกได้ ดังนี้
3.2.1 การลากเส้นตามรอย วิธีการนี้จะมีรอยเส้นประมาณให้ ให้นักเรียนลากเส้นทับรอยเส้นประอย่างต่อเนื่อง หรือไม่ขาด โดยไม่ยกดินสอ
3.2.2 การลากเส้นตามรอยให้เหมือนแบบ วิธีการนี้จะกำหนดแบบ หรือรูปภาพมาให้ ให้นักเรียนลากเส้นตามรอยเส้นประให้เหมือนแบบ
3.2.3 ลากเส้นระหว่างจุดให้เหมือนแบบ วิธีการนี้จะกำหนดแบบมาให้ แล้วให้นักเรียนลากเส้นระหว่างจุดให้เหมือนแบบ
3.2.4 ลากเส้นให้อยู่ในกรอบ วิธีการนี้จะกำหนดกรอบขนาดประมาณ 1/4 นิ้ว ถึง ½ นิ้ว มาให้ ให้นักเรียนลากเส้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ยกดินสอ และเส้นที่ลากอยู่ในกรอบที่กำหนด
3.2.5 การระบายสีให้อยู่ในกรอบ วิธีการนี้จะกำหนดรูปภาพมาให้ แล้วให้นักเรียนระบายสีรูปภาพที่กำหนด โดยสีที่ระบายไม่ออกนอกกรอบ
3.2.6 การวาดรูปให้เหมือนแบบ วิธีการนี้จะมีรูปภาพที่เป็นแบบมาให้ แล้วให้นักเรียนวาดภาพให้เหมือนกับแบบที่กำหนด
3.2.7 การลากเส้นทับจุด วิธีการนี้จะมีจุดและสร้างรูปเป็นแบบมาให้ แล้วให้นักเรียนลากเส้นตามจุดให้เหมือนกับแบบที่กำหนด
3.2.8 การต่อเติมภาพให้สมบูรณ์ วิธีการนี้จะกำหนดรูปภาพที่สมบูรณ์และรูปภาพที่ไม่สมบูรณ์มาให้แล้วให้นักเรียนต่อเติมรูปภาพที่ไม่สมบูรณ์ให้มีความสมบูรณ์เหมือนกับรูปภาพที่กำหนด
3.3 การตรวจผลงานเด็ก ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษาอาจจะประเมินพัฒนาการด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ของเด็กโดยการดูจากผลงานที่เด็กทำขึ้น เช่น การลากเส้นชนิดต่าง ๆ การวาดภาพระบายสี การวาดภาพตามแบบ การติดกระดุม การูดซิป การรินน้ำ เป็นต้น
3.4 การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง ครูผู้สอนชั้นอนุบาลศึกษาอาจจะประเมินโดยการซักถามกับผู้ปกครองถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับทักษะความสามารถทางด้านการใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสาทสัมพันธ์ ว่ามีมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างพฤติกรรมได้แก่ การแต่งตัว การติดกระดุม การใส่รองเท้า – ถุงเท้า การรับประทานอาหาร การรินน้ำ เป็นน้ำ
พัฒนาการและความพร้อมทางด้านอารมณ์ – จิตใจ
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ – จิตใจของเด็กปฐมวัย (อายุ 3 – 6 ปี)
เด็กวัยนี้มักจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิด และโกรธง่าย โมโหร้ายโดยปราศจากเหตุผล มักจะแสดงอาการขัดขืนและดื้อดึงต่อพ่อแม่เสมอ เป็นวัยที่เรียกว่า ชอบปฏิเสธ ซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ เรียกว่า Nagative Stage เมื่อเด็กคบหาสมาคมกับเพื่อน ๆ อารมณ์ดังกล่าวจะค่อย ๆ หายไป อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางอารมณ์ – จิตใจของเด็กจะมั่นคงเพียงใด ขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูเป็นสำคัญ
พัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัยสรุปเป็นเรื่อง ๆ ได้ดังนี้
1. ความโกรธ (Anger) อารมณ์โกรธของเด็กวัยนี้มักเกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากมีสิ่งเร้าหลายประการเข้ามาเราให้เด็กโกรธ เช่น ถูกขัดใจเรื่องของเล่น ถูกรังแก เป็นต้น
2. อารมณ์กลัว (Fear) เนื่องจากเด็กวัยนี้มีสติปัญญาพัฒนาขึ้นทำให้หวาดกลัวสิ่งต่าง ๆ มากกว่าเด็กวัยเด็กเล็ก เพราะว่ามองเห็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตนได้
3. ความอิจฉาริษยา (Jealosy) ความอิจฉาริษยาของเด็กวัยนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพ่อ แม่ พี่น้อง หรือคนเลี้ยงหันไปสนใจและเอาใจใส่น้องเล็กมากกว่าตน
4. ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) เด็กวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็นและจะสงสัยสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รู้จบสิ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุประมาณ 6 ปี เด็กจะถามมากที่สุด
5. ความรัก (Love) ความรักของเด็กวัยนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเด็กก่อน คือ รักตนเองก่อนและต่อมาจึงมีจิตใจรักผู้อื่น ในเด็กอายุ 5 ปี นั้น มารดาจะกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตในโลกของเด็ก เด็กจะชอบอยู่ใกล้ ๆ แม่ ติดตามแม่ไปทุกหนทุกแห่ง แต่พออายุ 6 ปี เด็กจะหันมาชื่นชมและนิยมพ่อมากกว่าแม่
ขอบคุณครับ มีประโยชน์มากครับ
มีประโยชน์มากๆครับ ขอบคุณคุณครูที่เขียนไว้นะครับ ?