เมื่อเด็กตกเป็นทาส...อินเตอร์เนต


เด็กที่ตกเป็นเหยื่อจากสารสนเทศหรืออินเตอร์ เรื่องนี้ นที อนุกานนท์ ผู้ประสานงานศูนย์กิจกรรมอิสรชน มีข้อคิดจากการลงพื้นที่มาบอกเล่า จากการทำงานในพื้นที่ที่มีศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ๆ บางเมือง เช่น เชียงใหม่ อุบลราชธานี ขอนแก่น พิษณุโลก นครราชสีมา



เรื่องราวปัญหาในสังคมไทยปัจจุบันหลายคนออกมาบอกเล่ามากมาย ทั้งเรื่องของเด็กเร่ร่อน เด็กได้รับผลกระทบจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ เด็กที่ตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์ของผู้ที่เข้มแข็งหรือมีอำนาจมากกว่า แต่อีกเรื่องหนึ่งแม้มีคนพยายามบอกกล่าวเล่าเรื่องให้สังคมฟัง ให้สังคมระวังมานานกว่า 5 ปี แต่ดูเหมือนสังคมเองยังไม่เห็นภยันตรายของมันอย่างแท้จริง
เด็กที่ตกเป็นเหยื่อจากสารสนเทศหรืออินเตอร์ เรื่องนี้ นที อนุกานนท์ ผู้ประสานงานศูนย์กิจกรรมอิสรชน มีข้อคิดจากการลงพื้นที่มาบอกเล่า จากการทำงานในพื้นที่ที่มีศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ๆ บางเมือง เช่น เชียงใหม่ อุบลราชธานี ขอนแก่น พิษณุโลก นครราชสีมา ตั้งแต่ปลายปี 2542 เป็นต้นมา พบว่าเด็กจำนวนกว่า 40% ที่ใช้บริการจะมีอายุอยู่ระหว่าง 12-15 ปี และกว่า 20% อายุ 17-18 ปี อีกราวกว่า 15% กระจายอยู่ในกลุ่มอายุเฉลี่ยไม่เกิน 25 ปี นอกนั้นเป็นคนอายุ 30 ปีขึ้นไป

การใช้บริการร้านอินเตอร์เน็ตนั้นกว่า 75% จะใช้บริการ Chat(คุย) เป็นส่วนใหญ่ และการคุยดังกล่าวกว่า 45% จะเป็นการคุยเพื่อมีจุดประสงค์ในเรื่องของการชักชวนกันไปมีเพศสัมพันธ์ ทั้งแบบขายบริการและแบบสมยอม อัตราค่าบริการการใช้อินเตอร์เน็ตนั้นอยู่ระหว่าง 5-30 บาท ตามแต่ความหนาแน่นและแพ็กเกจของแต่ละร้านจะได้มา

จากการติดตามข้อมูลและลงสัมภาษณ์เด็กที่ใช้บริการดังกล่าว ทั้งที่เป็นผู้ซื้อ(ชาย) และผู้ขาย(หญิง) พบว่าเด็กที่ขายบริการส่วนใหญ่ 45% จะเป็นนักศึกษาในระดับ ป.วส.-อุดมศึกษา ทั้งสถาบันของราษฎร์และรัฐ และที่น่าตกใจ 25-30% เป็นเด็กระดับมัธยมศึกษาทั้งตอนต้นและตอนปลาย ที่เหลือจะเป็นคนวัยทำงานและหญิงขายบริการแอบแฝงเข้ามาประมาณ 10-15% และเป็นแม่บ้านหรือผู้ที่เข้ามาอยากลองหรือหารายได้พิเศษชั่วคราวประมาณ 5-10% อัตราค่าใช้บริการเฉลี่ย 1,000-4,000 บาท แล้วแต่คุณภาพของผู้ขายบริการและความพอใจของผู้ซื้อ

ตัวเลขของการขายบริการทางอินเตอร์เน็ตข้างต้น ยังไม่น่ากลัวเท่าการล่อลวงเพื่อนำไปล่วงละเมิดทางเพศ โดยใช้อินเตอร์เน็ตเป็นช่องทาง คือมีค่าอยู่ที่ 30% หรือในทุกๆ 3 คู่สนทนา หรือหากคุณสนทนากับใครก็ตามในอินเตอร์เน็ต

ทุก 3 คนใน 10 คนมีแนวโน้มจะหวังผลเพื่อล่อลวงคุณออกไปนอกสายเพื่อพบปะกัน และในจำนวนนั้น ทั้ง 3 คนมีเจตนาจะล่อหลอกเหยื่อเพื่อให้สนองความต้องการของตนเอง หรือชักชวนจูงใจให้เหยื่อเข้าสู่เส้นทางการค้าบริการทางเพศหรือยาเสพติด ซึ่งเหยื่อเกือบทั้งหมดจะไม่กล้านำเรื่องราวไปเล่าให้ญาติผู้ใหญ่ฟัง หรือไม่กล้าออกมายืนยันว่าตนเองโดนหลอก เพราะอับอายในสิ่งที่เกิดขึ้น

จากการเก็บข้อมูลพบว่าผู้กระทำส่วนใหญ่มีอายุ 23-37 ปี มีทั้งเป็นนักศึกษา คนทำงานโดยทั่วไป มีทั้งทำคนเดียว และร่วมมือกันเป็นทีม ส่วนหนึ่งจะมีการข่มขู่เหยื่อด้วยการบอกว่าจะนำเรื่องของเหยื่อไปกระจายในอินเตอร์เน็ต และในสถาบันการศึกษาของเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่กล้าที่จะให้ข้อมูลโดยละเอียด

เรื่องราวข้อมูลที่กล่าวข้างต้นเป็นการทำงานกึ่งภาคสนามที่สัมผัสและพูดคุยกับผู้เสียหายหรือเหยื่อกว่า 30 ราย และเกือบทุกรายในปัจจุบันเข้าสู่เส้นทางการค้าบริการสมบูรณ์แบบแล้ว 20 กว่าคน นอกนั้นไม่สามารถจะติดตามได้ บางคนไปเริ่มชีวิตใหม่ในต่างประเทศ บางคนเสียชีวิตแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------
จากมติชนรายวัน 3 ส.ค. 2544

หมายเลขบันทึก: 33618เขียนเมื่อ 10 มิถุนายน 2006 23:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 15:27 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

นี่เป็นสิ่งที่พบบ่อยมากในสังคมปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งยั่วยุอื่นๆอีก แต่ ณ ที่นี่จะพูดแต่เรื่งปัญหาเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต

 เราคงพบเห็นกันอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับปัญหาเด็กติดคอม ติดอินเตอร์เน็ต เด็กเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ในการใช้อินเตอร์เน็ตที่แตกต่างกันไปตามเพศ วัย และบุคลิกภาพหรือสถานการ โดยมาก เด็กในช่วงอายุ 13 ลงไปมักใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเล่นเกมส์ ส่วนเด็กที่โตกว่านั้นก็จะเป็นการพูดคุยนั่นแหละ แต่ว่ามันต้องมีเรื่องชักชวนเกินขึ้นบ่อยครั้งแน่และตอนนี้เราคงหาทางแก้ไขไม่ได้เพราะเราบังคับพวกเขาไม่ได้

 ปัญหาเด็กติดอินเตอร์เน็ตมีแน้วโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และก็เช่นกันที่ว่าจะมีการพูดคุยหรือชักชวนเกี่วยกับเรื่องเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นอาจเป็นเพราะว่าเด็กทุกวันนี้

-ห่างเหินพ่อแม่ สาเหตุอาจจะเกิดจากการไม่ได้รับความสนใจหรือถูกทอดทิ้งในวัยเด็กจนไม่มีความคุ่นเคย เมื่อโตเป็นวัยรุ่นก็มักอยากห่างเหินหรือทำอะไรที่เป็นอิสระ

-ถูกตามใจจนเสียเด็ก เด็กพวกนี้มักเห็นความคิดตนเองสำคัญกว่าความคิดผู้อื่นเสมอ หากถูกห้ามขณะทำอะไรมักจะมีกิริยาตอบโต้ หรืออาจปลีกตัวออกไปทำกิจกรรมคนเดียว

-เด็กที่มีปมด้อย มักจะมีความน้อยเนื้อตำใจอยู่เสมอและขี้อิจฉาผู้อื่น เด็กเหล่านี้จึงหันมาเล่นอินเตอร์เน็ตและด้วยความไร้เดียงสาจึงอาจถูกชักนำให้ใช้อินเตอร์เน็ตในทางที่ผิด

และอาจมีสาเหตุอื่นๆอีกมากผมที่ไม่ได้ยกมาอธิบาย 

ผมคิดว่าการจะแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองของเด็กและความร่วมมือจากตัวเด็กเองซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข หลายคนบอกว่าการปลูกจิตสำนึกให้เด็กจะช่วยแก้ปัญหาได้แต่สำหรับผม ผมคิดว่านั่นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้แก้ปัญหานี้

น่าคิดนะครับว่าเราทำยังไง

นี่เป็นเพียงข้อคิดเห็นสั้นๆเท่านั้น สำหรับประโยคอื่นๆนอกเหนือจากนี้ของผม อยู่ในลิ้งค์นี้ครับ

 http://www.thaimail.com/aspwebboard/Question.asp?Gid=33564

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท