ความหมายของหนังสือ
หนังสือ หมายถึง การบันทึกความรู้ ความคิด
ประสบการณ์ ลงบนแผ่นกระดาษขนาดเท่า ๆ กัน โดยใช้ถ้อยคำ
สำนวนโวหารในการสื่อสารให้ผู้อ่านได้รับรู้ และเข้าใจ ซึ่งใช้การเขียน
หรือพิมพ์ แล้วนำมาเย็บรวมเป็นเล่ม
กระดาษที่นิยมใช้จัดทำหนังสือมีหลายขนาด
แตกต่างกันไปตามประโยชน์ของการใช้งาน ดังนี้
- กระดาษขนาดสองหน้ายก ความสูง มากกว่า 30 ซ.ม. (ประมาณ 15
นิ้ว)
- กระดาษขนาดสี่หน้ายก ความสูง 30 ซ.ม.
(ประมาณ 12 นิ้ว)
- กระดาษขนาดแปดหน้ายก ความสูง 25 ซ.ม. (ประมาณ 9
¾ นิ้ว)
- กระดาษขนาดสิบหกหน้ายก ความสูง 17 ½ ซ.ม.
(ประมาณ 6 ¾ นิ้ว)
- กระดาษขนาดสามสิบสองหน้ายก ความสูง 13 ซ.ม. (ประมาณ 5
นิ้ว)
- กระดาษขนาดหกสิบสี่หน้ายก ความสูง 8 ซ.ม.
(ประมาณ 3 นิ้ว)
- กระดาษขนาดช้าง (Elephant folio) ความสูง 23
นิ้ว
- กระดาษขนาดหนังสือแผนที่ (Atlas folio) ความสูง
25 นิ้ว
- กระดาษขนาดช้างคู่ (Double elephant folio) ความสูง
50 นิ้ว
หนังสือที่มีความกว้างมากกว่า ความสูงเรียกว่า
หนังสือสี่เหลี่ยมผืนผ้า (oblong) และใช้คำว่า สี่เหลี่ยมผืนผ้า
ตามหลังขนาดของหนังสือได้ เช่น
หนังสือขนาดแปดหน้ายกสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ที่มีความกว้างน้อยกว่า 3/5 ของความสูง เรียกว่า
หนังสือหน้าแคบ (narrow) และใช้คำว่า หน้าแคบ
ตามหลังขนาดของหนังสือได้ เช่น หนังสือขนาดแปดหน้ายกหน้าแคบ
หนังสือที่มีความกว้างมากกว่า 3/4 ของความสูง
แต่ไม่เกินความสูง เรียกว่า หนังสือหน้าจตุรัส (square)
หนังสือวิชาการโดยทั่วไป นิยมใช้กระดาษขนาดแปดหน้ายก
ซึ่งถือเป็นขนาดมาตรฐาน และหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ก
นิยมใช้กระดาษขนาดสิบหกหน้ายก (พวา พันธุ์เมฆา, 2539, หน้า
81)
ประโยชน์ของหนังสือ
หนังสือมีประโยชน์ ดังนี้
1. บันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้อย่างละเอียดชัดเจน
2. ถ่ายทอดวัฒนธรรมและเรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบัน
3. ส่งเสริมความใฝ่รู้ให้แก่ผู้อ่านด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
และรูปเล่มที่ดึงดูดความสนใจ
4. สร้างนิสัยรักการอ่าน และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ส่วนประกอบของหนังสือ
การศึกษาส่วนประกอบของหนังสือนั้น
มีความจำเป็นมากสำหรับผู้อ่าน
นอกเหนือจากการอ่านเนื้อเรื่องของหนังสือแล้ว
ผู้อ่านควรที่จะทราบส่วนประกอบของหนังสือด้วย
เนื่องจากแต่ละส่วนของหนังสือ จะบอกข้อมูลต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนั้นๆ
เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการเลือกซื้อ
หรือใช้ประกอบการอ้างอิงได้
หรือเพื่อประโยชน์ในการช่วยให้อ่านหนังสือได้เข้าใจยิ่งขึ้น
ซึ่งหนังสือประกอบด้วย 4 ส่วนใหญ่ๆ ดังนี้
1.
ส่วนปก (binding)
2.
ส่วนประกอบตอนต้น (preliminary page)
3.
ส่วนเนื้อเรื่อง (text / body of the book)
4.
ส่วนประกอบตอนท้าย(auxiliary materials)
หนังสือแต่ละเล่มที่ผลิตออกมานั้น
ล้วนแล้วแต่มีส่วนประกอบต่างๆ ที่มากน้อย แตกต่างกันไป
อาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามหลักวิชาการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
ปัจจัยการผลิตหลายประการ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิด
เพราะไม่มีหนังสือเล่มใดในโลก
ที่มีส่วนประกอบครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ
1. ส่วนปก
(binding)
1.1 ใบหุ้มปก (book jacket
/ dust jacket / wrapper)
- เป็นส่วนแรกของหนังสือ
มีลักษณะเป็นกระดาษหุ้มตัวเล่มด้านนอกของหนังสือไว้
แล้วพับทบไว้ที่ด้านในของปกทั้งปกหน้าและปกหลัง
ที่ด้านหน้าของใบหุ้มปกจะพิมพ์รูปภาพ หรือข้อความ
ที่มีลักษณะเหมือนกับปกจริงของหนังสือ ซึ่งอาจเป็นชื่อหนังสือ
และชื่อผู้แต่ง หรืออาจเป็น ภาพที่แตกต่างจากปกจริงก็ได้
แต่ต้องเป็นภาพที่มีสีสันสวยงาม เพื่อดึงดูดความสนใจ
และเป็นภาพมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาภายในตัวเล่ม
- ใบหุ้มปกช่วยให้หนังสือสวยงาม และยืดอายุการใช้งานของหนังสือ
โดยป้องกันไม่ให้หนังสือสกปรกง่าย ส่วนที่พับทบไว้ด้านในของปก
ทั้งปกหน้าและปกหลัง ยังสามารถพิมพ์ประวัติของผู้แต่งหนังสือ
และเนื้อเรื่องย่อของหนังสือได้อีกด้วย
1.2 ปก (blnding /
cover)
- ปกของหนังสือมีทั้งปกอ่อน และปกแข็ง
ซึ่งมีกรรมวิธีในการเข้าปกไม่เหมือนกันโดยหนังสือปกอ่อน
เป็นเพียงการนำปกที่พิมพ์สำเร็จแล้ว มาทากาวทาบติดกับตัวเล่ม
แต่หนังสือปกแข็งมักจะมีการทำปกด้วยผ้าแล็กซีล หรือกระดาษแล็กซีล
(Lacquer sealed) และมีกรรมวิธีในการเข้าปกที่ยุ่งยากซับซ้อน
แต่หนังสือปกแข็งมีความแข็งแรงทนทานมากกว่าหนังสือปกอ่อน
จึงมีผลทำให้หนังสือปกแข็งมีราคาแพงกว่าหนังสือปกอ่อน
- ไม่ว่าจะเป็นปกอ่อนหรือปกแข็ง
ปกของหนังสือจะมีหน้าที่ยึดกระดาษที่อยู่ด้านใน
ให้รวมเป็นเล่มเดียวกัน และมีรูปทรงที่ชัดเจน
เพื่อรักษารูปทรงของหนังสือให้คงทน
โดยบริเวณปกด้านหน้าจะเขียนชื่อเรื่องของหนังสือ ชื่อผู้แต่ง
ปีที่พิมพ์ บางครั้งอาจมีชื่อสำนักพิมพ์ด้วย
1.3
สันหนังสือ (spine)
- เป็นส่วนที่อยู่ระหว่างปกหน้า และปกหลัง มีหน้าที่ยึดปกหน้า
และปกหลังให้ติดกัน
ซึ่งขนาดของสันหนังสือแต่ละเล่มจะบางหรือหนาแตกต่างกันไปตามจำนวนกระดาษที่อยู่ด้านใน
หนังสือที่มีสันหนา ส่วนมากนิยมพิมพ์ข้อมูลของหนังสือ เช่น ชื่อเรื่อง
ชื่อผู้แต่ง สำนักพิมพ์ และปีที่พิมพ์ ตามลำดับ
สำหรับหนังสือที่มีสันบาง สามารถเลือกพิมพ์
ข้อมูลที่จำเป็นบางอย่างได้
โดยส่วนใหญ่จะเลือกพิมพ์ชื่อเรื่องก่อน
- ห้องสมุดใช้ประโยชน์จากสันหนังสือโดยการพิมพ์ เลขเรียกหนังสือ
(call number) ไว้บริเวณด้านล่างของสันหนังสือ
ซึ่งวัดจากขอบล่างของหนังสือขึ้นมาประมาณ 1.5 - 3 นิ้ว
แต่กรณีที่สันหนังสือบาง ไม่สามารถพิมพ์เลขเรียกหนังสือลงไปได้
ห้องสมุดจะเปลี่ยนมาเขียนเลขเรียกหนังสือที่บริเวณปกหน้า
ด้านล่างซ้ายแทน โดยวัดห่างจากขอบล่างของหนังสือขึ้นมาประมาณ 1.5 - 3
นิ้ว เช่นกัน และห่างจากขอบสันด้านซ้ายของหนังสือเข้ามาประมาณ 1.5
นิ้ว หรือบางห้องสมุดจะพิมพ์เลขเรียกหนังสือทั้งที่สัน
และปกหน้าของหนังสือ
1.4 ใบติดปก (end
paper)
- เป็นกระดาษที่ทากาวผนึกติดอยู่กับปกด้านใน ทั้งปกหน้าและปกหลัง
ส่วนใหญ่จะพบใบติดปกในหนังสือปกแข็ง
เนื่องจากหนังสือปกแข็งจะมีการทำปกด้วยผ้าแล็กซีล หรือ กระดาษแล็กซีล
ซึ่งทำให้มีรอยตะเข็บที่เกิดจากการพับผ้าแล็กซีล หรือกระดาษแล็กซีล
จึงต้องนำกระดาษมาปิดทับรอยนั้นเพื่อให้เกิดความสวยงาม นอกจากนี้
ยังทำหน้าที่ช่วยยึดปกกับตัวเล่มหนังสือไว้ด้วยกันอีกด้วย
2. ส่วนประกอบตอนต้น
(preliminary page)
2.1 ใบรองปก (fly leave)
- เป็นกระดาษแผ่นเดียวกันกับใบติดปกที่มีความยาวต่อเนื่องกันมา
แต่ปล่อยเป็นอิสระ ระหว่างใบติดปกและใบรองปก จะถูกยึดติดกับตัวเล่ม
เพื่อช่วยให้ปกและตัวเล่มหนังสืออยู่ติดกันได้นานขึ้น
โดยส่วนใหญ่ใบติดปกและใบรองปกจะเป็นกระดาษที่หนาและเหนียวพอสมควร
2.2 หน้าชื่อเรื่อง (half title page)
- เป็นหน้าที่มีชื่อเรื่องของหนังสือเพียงอย่างเดียว
เพื่อเป็นการกล่าวซ้ำให้ชัดเจนว่าหนังสือมีชื่อเรื่องว่าอย่างไร
หนังสือบางเล่มที่มีชื่อเรื่องเทียบเคียง (pararell title)
และชื่อเรื่องรอง (subtitles) ก็จะปรากฏอยู่ที่หน้าชื่อเรื่องเช่นกัน
นอกจากนี้หน้าชื่อเรื่องยังทำหน้าที่แทนปกชั่วคราว กรณีที่ปกหลุด
หรือสูญหาย
2.3 หน้าภาพนำ (frontispiece)
- เป็นหน้าที่แสดงภาพที่มีความสำคัญ
และเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องของหนังสือ อาจเป็นภาพขนาดใหญ่
และไม่ปรากฏตัวอักษรใดในหน้าภาพนำ
2.4 หน้าปกใน (title page)
- เป็นหน้าที่มีความสำคัญที่สุด
เนื่องจากเป็นหน้าที่มีรายละเอียดทางบรรณานุกรม
ของหนังสือครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด
ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการอ้างอิงและเขียนบรรณานุกรมได้
- รายละเอียดทางบรรณานุกรมที่ปรากฏในหน้าปกใน ได้แก่
2.4.1 ชื่อผู้แต่ง (author)
หน้าปกในจะปรากฏชื่อผู้แต่งทุกคนอย่างครบถ้วน บางครั้งบอกคุณวุฒิ
และสถานที่ทำงานของผู้แต่งแต่ละคนด้วย
2.4.2 ชื่อเรื่องหนังสือ (title)
เป็นส่วนที่มีชื่อเรื่องของหนังสือที่ถูกต้องซึ่งอาจมีทั้งชื่อเรื่องจริง
(title proper) ชื่อเรื่องเทียบเคียง (pararell title)
และชื่อเรื่องรอง (subtitles)
2.4.3 ครั้งที่พิมพ์ (edition)
หนังสือที่มีจำนวนครั้งที่พิมพ์มาก
แสดงว่าเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอ่านมาก เช่น พิมพ์ครั้งแรก
พิมพ์ครั้งที่ 2 พิมพ์ครั้งที่ 3 พิมพ์ครั้งที่ 4
พิมพ์ครั้งที่ 5
2.4.4 สถานที่พิมพ์ (place of publisher) คือ
ชื่อเมือง ชื่อจังหวัด หรือชื่อประเทศ
ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักพิมพ์ที่จัดพิมพ์หนังสือ เช่น กรุงเทพฯ
New York London Toronto
2.4.5 สำนักพิมพ์ (publisher) คือ ชื่อของบริษัท
สำนักพิมพ์ หรือหน่วยงาน ที่รับผิดชอบจัดพิมพ์หนังสือ เช่น
สำนักพิมพ์ดอกหญ้า สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ McGraw –
Hill Facts on File H.W. Wilson Company
2.4.6 ปีที่พิมพ์ (date of publication)
เป็นปีที่จัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือ
2.5 หน้าลิขสิทธิ์ (copyright
page)
- เป็นหน้าที่อยู่ด้านหลังของหน้าปกใน มีข้อความบอก
ปีที่จดทะเบียนลิขสิทธิ์หนังสือ และผู้ถือลิขสิทธิ์ เช่น
- “สงวนลิขสิทธิ์ตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์
โดยบริษัท....................... พ.ศ.2538
ห้ามการลอกเลียนไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้
นอกจากจะได้รับอนุญาต”
- นอกจากข้อความที่เป็นลิขสิทธิ์แล้ว ในหน้านี้ยังอาจมีข้อมูลอื่นๆ
ของหนังสือเพิ่มเติมด้วย เช่นเป็นหน้าที่อยู่ด้านหลังของหน้าปกใน
มีข้อความบอก ปีที่จดทะเบียนลิขสิทธิ์หนังสือ
และผู้ถือลิขสิทธิ์ เช่น
2.5.1 ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดทางบรรณานุกรมของหนังสือ
2.5.2 เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (International Standard Book
Number = ISBN) เป็นเลขสำหรับข้อมูลของหนังสือแต่ละเล่ม
เพื่อการติดต่อสื่อสาร
ให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างประเทศต่างๆ
2.6 หน้าคำอุทิศ (dedication page)
- มีข้อความที่บอกถึงการอุทิศความดี
หรือประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับจากหนังสือเล่มนี้ให้แก่บุคคลต่างๆ
เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของบุคคลเหล่านั้นที่มีส่วนทำให้ผู้เขียนได้รับความสำเร็จจากการเขียนหนังสือ
คำอุทิศ
หาก คุณค่าทางความรู้และความคิดจากเอกสารเล่มนี้
ช่วยชี้แนะผู้อ่านให้มีนิสัยรักการอ่าน
และสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้ข้อมูล
ที่ตนเองสนใจและต้องการได้อย่างถูกต้องรวดเร็วด้วยตนเองแล้ว
ผู้เขียนขออุทิศความดีดังกล่าว
ให้ผู้มีพระคุณต่อผู้เขียนทุกท่าน
ประทีป
จรัสรุ่งรวีวร
2.7 หน้าคำนำ
(preface)
- มีข้อความที่แจ้งให้ผู้อ่านทราบถึงวัตถุประสงค์
หรือจุดประสงค์ในการเขียนหนังสือ ในตอนท้ายอาจมีคำขอบคุณ
หรือประกาศคุณูปการต่อผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในการเรียบเรียง
หรือพิมพ์หนังสือนั้น
2.8 หน้าบทนำ (introduction)
- เป็นการอธิบายเนื้อหา หรือขอบเขตโดยย่อของหนังสือ
เพื่อให้ผู้อ่านได้มีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ
ก่อนที่จะอ่านเนื้อเรื่องอย่างละเอียดต่อไป
2.9 หน้าสารบัญ (table of contents)
- การนำหัวข้อต่างๆ ในเนื้อเรื่อง มาจัดเรียงลำดับตั้งแต่หัวข้อแรก
จนถึงหัวข้อสุดท้ายและกำกับด้วยเลขหน้าที่หัวข้อนั้นๆ ปรากฏอยู่
เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถค้นหาเนื้อเรื่อง
ที่ต้องการอ่านในตัวเล่มได้รวดเร็วขึ้น
2.10 หน้าสารบัญภาพ แผนที่ และตาราง (list of
illustrations, maps and tables)
- หน้าสารบัญภาพประกอบ แผนที่
และตารางจะมีในหนังสือบางเล่มที่มีภาพประกอบ แผนที่ หรือตารางเท่านั้น
โดยนำชื่อภาพ ชื่อแผนที่
ชื่อตารางมาจัดเรียงตามลำดับก่อนหลังที่ปรากฏในเล่ม และกำกับด้วยเลข
เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถค้นหาภาพ
แผนที่หรือตารางที่ต้องการได้รวดเร็วขึ้น
โดยแยกหน้าสารบัญตามประเภท
3. ส่วนเนื้อเรื่อง (text
or body of the book)
3.1 เนื้อหา
(text / body of the book)
- เนื้อหาเป็นส่วนสำคัญที่สุดของหนังสือ มีการประมวลความรู้ต่างๆ
ที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารให้กับผู้อ่านได้ทราบ
การเรียบเรียงเนื้อหาเป็นระบบระเบียบ โดยเฉพาะหนังสือวิชาการ
จะมีการแบ่งเนื้อหาออกเป็นบทๆ ซึ่งหนังสือแต่ละเล่มจะมีกี่บทก็ได้
แล้วแต่การจัดแบ่งของผู้เขียนตามความเหมาะสม แต่หนังสือบางเล่ม
มีการเขียนเนื้อหาติดต่อกันไปตลอดทั้งเล่ม ไม่มีการแบ่งบท
ส่วนใหญ่หนังสือที่ไม่มีการแบ่งบทนี้
จะเป็นหนังสือสำหรับอ่านหาความรู้ทั่วไป ไม่ใช่หนังสือวิชาการ
- ในกรณีที่เป็นหนังสือวิชาการมักจะพบส่วนประกอบ ที่เรียกว่า
“การอ้างอิงแทรกในเนื้อหา” หรือ “เชิงอรรถ” อย่างใดอย่างหนึ่ง
ปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่องเสมอ
เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการค้นคว้าอย่างจริงจังจากเอกสารหลายๆ เล่ม
เพื่อให้ได้ความรู้ใหม่มาเรียบเรียงในการเขียนหนังสือเล่มนั้นๆ
3.2 การอ้างอิงระบบนามปี
(parenthetical references)
- หมายถึง ข้อความที่บอกแหล่งที่มาของเนื้อเรื่อง
ซึ่งแทรกอยู่ในเนื้อหา และอยู่ในวงเล็บ ได้แก่ ชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์
และเลขหน้าของเอกสารที่นำมาอ้างอิง
ตัวอย่างการอ้างอิงแทรกในเนื้อหา
จากความจำเป็นที่แพทย์ ต้องใช้สารนิเทศเพื่อการปฏิบัติงาน
แต่จำนวนสารสนเทศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณว่าแต่ละปีมีบทความใหม่ตีพิมพ์ออกมา
400,000 จากวารสารประมาณ 14,000 รายการ (สุชาดา ธินะจิตร, 2535, หน้า
20) มีบทความปริทัศน์ (Review articles
เป็นข้อเขียน.....
3.3
เชิงอรรถ(การอ้างอิงท้ายหน้า)
- หมายถึง ข้อความที่บอกแหล่งที่มาของเนื้อเรื่อง
ซึ่งจะปรากฏอยู่ที่ท้ายหน้ากระดาษ มี 3 ประเภท ได้แก่
3.3.1 เชิงอรรถอ้างอิง (citation
footnote) เป็นเชิงอรรถที่แจ้งแหล่งที่มา
ของข้อความว่านำมาจากเอกสารใด
เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
หรือสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสารต้นฉบับได้
3.3.2 เชิงอรรถเสริมความ (content
footnote) เป็นเชิงอรรถที่อธิบายคำ หรือความหมาย
หรืออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม
เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้ดียิ่งขึ้น
3.3.3 เชิงอรรถโยง (cross reference footnote)
เป็นเชิงอรรถที่โยงให้ผู้อ่านดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากส่วนอื่นๆ
ของตัวเล่ม เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ
4. ส่วนประกอบตอนท้าย
(auxiliary materials)
4.1 ภาคผนวก
(appendix)
- ส่วนที่เพิ่มเติมจากเนื้อเรื่อง
ซึ่งไม่สามารถที่จะนำไปเขียนไว้ในเนื้อเรื่องได้
เนื่องจากจะทำให้เนื้อหา ขาดตอนไม่ต่อเนื่อง
แต่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง ซึ่งผู้อ่านควรจะได้ทราบ เช่น
หนังสือเรื่อง คู่มืออินเทอร์เน็ต โดย สุรศักดิ์ สงวนพงษ์
เนื้อหาในตัวเล่มมีหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวกับ พัฒนาการของอินเทอร์เน็ต
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เทคนิคการใช้งานอินเทอร์เน็ตในเรื่องต่างๆ
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
จะสามารถเข้าใจและใช้อินเทอร์เน็ตได้ดีขึ้น
แต่การใช้อินเทอร์เน็ตนั้นจะต้องทราบแหล่งบริการ หรือเว็บไซต์
ที่จะเข้าไปใช้ ซึ่งผู้อ่านบางท่าน ยังไม่ทราบว่าจะเข้าไป
ใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้จากที่ใด
ดังนั้นผู้เขียนจึงนำรายชื่อแหล่งบริการ หรือเว็บไซต์ต่างๆ
ไปไว้ในภาคผนวก
เพื่อเป็นส่วนส่งเสริมให้ผู้อ่านได้ใช้อินเทอร์เน็ตให้ประสบความสำเร็จ
และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4.2 อภิธานศัพท์
(glossary)
- เป็นการนำคำศัพท์ที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง
ที่ผู้เขียนคาดว่าผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจ หรือไม่รู้จักคำๆ นั้นมาก่อน
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้อ่าน
ได้อ่านเนื้อเรื่องอย่างเข้าใจและต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นคำคัพท์เฉพาะ
หรือคำศัพท์เทคนิค โดยการนำคำศัพท์เหล่านั้นมาจัดเรียงตามลำดับอักษร
แล้วอธิบายความหมายของคำศัพท์นั้นๆ
4.3 บรรณานุกรม
(bibliography)
- เป็นการนำรายละเอียดทางบรรณานุกรมของเอกสารต่างๆ
ที่ประกอบการเรียบเรียงหนังสือเล่มนั้นๆ มาจัดเรียงตามลำดับอักษร
เพื่อแจ้งให้ผู้อ่าน
ได้ทราบถึงแหล่งความรู้ที่ผู้เขียนได้ใช้ในการเรียบเรียงหนังสือ
และแสดงให้เห็นถึง
ความน่าเชื่อถือของการค้นคว้าอย่างจริงจังก่อนการเขียนหนังสือเล่มนั้นๆ
ซึ่งอาจมีทั้งหนังสือ วารสาร โสตทัศนวัสดุ หรือสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
โดยรายละเอียด ทางบรรณานุกรมของเอกสารต่างๆ ประกอบด้วย ชื่อผู้แต่ง
ปีที่พิมพ์ ชื่อเรื่อง ครั้งที่พิมพ์ สถานที่พิมพ์ และสำนักพิมพ์
4.4 ดรรชนี หรือ
บัญชีค้นคำ (index)
- เป็นการนำหัวข้อย่อยๆ และคำบางคำ ที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง
มาจัดเรียงตามลำดับอักษร แล้วกำกับด้วยเลขหน้าที่หัวข้อย่อย
และคำบางคำนั้นปรากฏอยู่ เพื่อช่วยให้ผู้อ่าน
ได้ค้นหาเรื่องราวในตัวเล่มได้รวดเร็วขึ้น
- หน้าดรรชนี หรือบัญชีค้นคำนี้ มีหน้าที่คล้ายกับสารบัญ คือ
ช่วยผู้อ่านให้สามารถค้นหา เรื่องที่ต้องการอ่านได้รวดเร็วขึ้น
แต่แตกต่างกันตรงที่สารบัญเป็นการนำหัวข้อต่างๆ
มาจัดเรียงตามลำดับก่อนหลังที่ปรากฏในตัวเล่ม แต่ดรรชนีหรือบัญชีค้นคำ
เป็นการนำหัวข้อย่อย และคำบางคำ มาจัดเรียงตามลำดับอักษร
.......................................................................................................
ค้นมาจาก....การรู้สารสนเทศ
e-learning : บทเรียนออนไลน์
โดย ผศ.เพชรรัตน์ บริสุทธิ์
http://human.tru.ac.th/elearning/tec_ban/tinfo03/index.html
.......................................................................................................
InDesign : Template for Book
ดูตัวอย่าง
>>> ตัวอย่างหนังสือ 1 ... ตัวอย่างหนังสือ 2