หน้าแรก
สมาชิก
สมาคมสร้างสรรค์ก...
สมุด
เสียงสะท้อนจากฅนด...
ความจริงที่ซ่อนอย...
สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน(องค์กรสาธารณประโยชน์)
นาย นที นท สรวารี
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ความจริงที่ซ่อนอยู่หลังฉาก
สนามหลวง ด้วยความเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว ที่พักผ่อน จุดศูนย์กลางในการเดินทางของสนามหลวง ทำให้ต่อวันจะมีผู้คนต่างถิ่นเดินทางเข้าออกผ่านสนามหลวงกันแบบนับไม่ถ้วน บางคนก็ตั้งใจที่จะมาท่องเที่ยว แล้วก็กลับ คนที่ผ่านไปผ่านมาบางคนก็มาแบบเป็นที่พักเพื่อคิดว่าจะไปที่ไหนต่อ บ่อยครั้งคิดต่อไม่ออกบางรายก็ต้องใช้ที่นี่เป็นที่พักชั่วคราว ตามประสาของคนยากจน หรือที่นักวิชาการบางคนเรียกว่า คนรากหญ้า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ่อยครั้งเวลาที่เราเดินผ่านสนามหลวงจะได้พบเห็นผู้คนที่นอนหนุนกระเป๋าเสื้อผ้าหนวดเครารุงรังนอนอยู่ตามเก้าอี้ที่เอาไว้ใช้นั่งเพื่อพักผ่อนหย่อยใจ
ถ้าพูดถึงเมืองที่เป็นที่นิยมในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในแถบประเทศตะวันตกในแถบทวีปเอเชีย
หนึ่งในนั้นก็ต้องมีประเทศไทย
ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของรอยยิ้มสยาม
และแหล่งวัฒนธรรม
รวมถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของเมืองไทย
ไม่ใช่เรืองแปลกที่ชื่อเสียงเหล่านี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกให้หลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยอย่างไม่ขาดสาย
และเมื่อมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว
สิ่งที่ฝรั่งมังค่าทั้งหลายส่วนมากจะพลาดไม่ได้ที่จะต้องมาเยี่ยมชมนั่นก็คือ
วัดพระแก้ว
พระบรมมหาราชวัง
และ
สนามหลวง
สถานที่ทั้งหลายที่พูดถึง
จะถูกมองในมุมที่สวยงาม
เป็นหน้าเป็นตาของประเทศชาติ ทั้งในเรื่องของประวัติศาสตร์
ความสวยงามของสถานที่
แต่จะมีนักท่องเที่ยวคนไหน
หรือบางทีอาจจะไม่ใช่นักท่องเที่ยว
แต่อาจจะเป็นเราๆท่านๆที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย
คนกรุงเทพ
เองด้วยซ้ำ
ที่มองมากไปกว่ามุมที่คนอื่นๆมองเห็น
สถานที่ที่เอ่ยถึงมานั้น สองที่แรก ผมมิอาจเอื้อมที่จะไปแตะต้องเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ถูกบำรุงรักษาอย่างค่อนข้างจะสมบูรณ์
ทำให้ไม่มีอะไรสามารถไปทำให้แปดเปื้อนมีมลทิลได้
แต่สถานที่สุดท้าย
เป็นที่สาธารณะ
ที่ใครๆก็สามรถเข้าออกได้
โดยไม่ต้องมีกฎกติกา
อีกทั้งยังเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางในการเดินทางของคนกรุง
สถานที่นี้ก็คือ
สนามหลวง
ด้วยความเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว
ที่พักผ่อน จุดศูนย์กลางในการเดินทางของ
สนามหลวง
ทำให้ต่อวันจะมีผู้คนต่างถิ่นเดินทางเข้าออกผ่านสนามหลวงกันแบบนับไม่ถ้วน
บางคนก็ตั้งใจที่จะมาท่องเที่ยว แล้วก็กลับ
คนที่ผ่านไปผ่านมาบางคนก็มาแบบเป็นที่พักเพื่อคิดว่าจะไปที่ไหนต่อ
บ่อยครั้งคิดต่อไม่ออกบางรายก็ต้องใช้ที่นี่เป็นที่พักชั่วคราว
ตามประสาของคนยากจน
หรือที่นักวิชาการบางคนเรียกว่า
คนรากหญ้า
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ่อยครั้งเวลาที่เราเดินผ่านสนามหลวงจะได้พบเห็นผู้คนที่นอนหนุนกระเป๋าเสื้อผ้าหนวดเครารุงรังนอนอยู่ตามเก้าอี้ที่เอาไว้ใช้นั่งเพื่อพักผ่อนหย่อยใจ
หรือบางครั้งอาจจะเห็นมีการตากเสื้อผ้า
รวมถึงผ้าอ้อมเด็กกับพื้นหญ้ากลางสนามหลวง
และด้วยการที่จุดยุทธศาสตร์เป็นทางผ่านไปมานั่น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกนั่นแหละ
ที่เราจะเห็นพ่อค้า
แม่ค้า
หรือคนทำมาหากินอาชีพต่างๆ ทั้งแปลกและไม่แปลก
ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
ปะปนกันอยู่มากมายมาย
สรุปแล้ว สนามหลวง
จะประกอบไปด้วยผู้คนทุกชนชั้น
ตั้งแต่
ระดับเจ้า
ระดับนาย
ที่จะใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีและเป็นทางผ่าน
ชนชั้นกลาง ที่ใช้เป็นที่พักผ่อนหรือต่อรถ และ
คนจนที่จะใช้ที่นี่เป็นที่ประกอบอาชีพ ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ที่หนักไปกว่านั้น
ที่นี่ยังประกอบไปด้วยคนที่ไม่ค่อยมีเงิน(มากกว่าคำว่า
“
จน
”
)ที่จะใช้ที่นี่เป็นที่พักพิงเพื่อรอเวลาที่จะไปหาญาติ
หรือรอเวลาที่ว่าเมื่อไหร่จะคิดออกว่าจะไปที่ไหน
ยังไม่หมดครับ
ที่นี่ยังประกอบไปด้วยคนที่หมดหวังกับชีวิต
คนวิกลจริต ฯลฯ หลากหลาย
ผมใช้เวลาเดินท้องสนามหลวง
4
ปี(ในชีวิตการเร่ร่อนจริงๆ) กับ
4
เดือนที่ลงคบหาพูดคุยกับเพื่อนๆที่เดินประจำอยู่ที่
สนามหลวง
ทำให้ผมสามารถแบ่งและวิเคราะห์คนที่เดินทำประจำอยู่ที่
สนามหลวง(
4
ปีที่เร่ร่อนไม่ได้คิดวิเคราะห์
4
เดือนพูดคุยวิเคราะห์จากประสบการณ์)
ได้ดังนี้โซนตรง
สนามหลวง
(หมายถึงตรงที่มีต้นมะขามและตรงสนามหญ้าที่ใช้จัดงานทั้งราชพิธี)คนที่เดินประจำอยู่ตรงนั้น
จะเป็นพ่อค้าแม่ค้า
ที่ทำมาหากินไปวันๆ
หญิงหรือชายที่ใช้เรือนร่างประกอบอาชีพซึ่งจะมีอายุค่อนข้างน้อย
หรือที่เราเรียกกันว่า
วัยรุ่น
ซึ่งคนที่เดินประจำอยู่ตรงนี้จะค่อนข้างดูดีสะอาดสะอ้าน
และมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งหน่อย
แต่เราก็ไม่สามารถเรียกคนกลุ่มนี้ว่า คนมีอันจะกินได้
ถ้าเดินข้ามถนนออกจากตรงกลางสนามหลวงมาฝั่งศาลฎีกา
และถัดไปยังบริเวณพระแม่ธรณีบีบมวยผม(สัญลักษณ์พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง) และเลยถึงหลังศาลทั้งสองฟากของริมคลองหลอด ลักษณะของคนที่เดินประจำ
หรือคนทำมาหากินอยู่ตรงนี้
จะแตกต่างจากโซนแรกอย่างเห็นได้ชัด ที่ว่าแตกต่างนั้น ไม่ได้หมายถึงการทำมาหากินที่แตกต่าง อาชีพทุกอย่างเหมือนกันแทบไม่มีผิดเพี้ยน แต่สิ่งที่แตกต่างคือสภาพของคนนั่นเอง
โซนที่สองนี้
คนที่เดินประจำหรือคนที่ทำมาหากินอยู่ตรงนี้จะดูขมุกขมัว
ถ้าเป็นแม่ค้าพ่อค้า
บ่อยครั้งเราจะเห็นว่าใช้สถานที่ที่ตัวเองขายของ เป็นที่หลับ
ที่นอน เสื้อผาไม่ได้เปลี่ยน
น้าท่า
ไม่ได้อาบ
ถ้าเป็นหญิงหรือชายที่ใช้เรือนร่างของตัวเองประกอบอาชีพ
ก็จะดูมีอายุ ตั้งแต่
25
ไปจนถึง มากที่สุดที่ผมเคยพูดคุยด้วยคือ
74
บางคนก็อยู่ในอาการเจ็บป่วย
บางคนก็มีลูกเล็กๆ
นอนอยู่ข้างๆบนเสื่อผื่นเก่าๆ
สภาพร้านค้าก็มืดๆ
ไฟส่องไม่ถึงสินค้า
ซึ่งคนที่เดินประจำ
และทำมาหากินอยู่ตรงนี้
ก็จะเรียกตัวเองว่า
“
คนสนามหลวง
”
เช่นกัน เป็นที่น่าแปลกใจว่า
เพราะอะไรในเมื่อเรียกตัวเองว่าเป็นคนสนามหลวงเหมือนกัน
อาชีพก็ไม่แตกต่างกัน อีกทั้งสถานที่ก็ไม่ได้ไกลกัน
ผู้คนถึงมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
การลงเดินสนามหลวง(แบบประจำ)ครั้งที่สองในชีวิตผม
ทำให้ผมได้พบกับมุมมองที่แตกต่างจากคนทั่วๆไปที่มองว่าสนามหลวงเป็นแค่พื้รที่ประวัติศาสตร์
เป็นหน้าเป็นตาของประเทศเพียงเท่านั้นเหมือนกับที่ทุกๆคนมอง
คนแรกที่ผมได้พูดคุยด้วย เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคน
ผมยาว สะอาดสะอ้าน
เธอขายของเล็กๆน้อยๆให้แก่คนที่ผ่านไปผ่านมาที่ท้องสนามหลวง บริเวณต้นมะขามตรงกันข้ามศาลฎีกา เธอชื่อ
พัด
ผมได้คุยกับเธอบ่อยครั้ง
เธอบอกว่าปัญหาของเธอคือ
เธอไม่มีเงินที่จะไปทำมาหากินอย่างอื่น
ทางดิ้นรนทางเดียวของเธอคือการมาขายของเล็กๆน้อยๆให้แก่คนที่ผ่านมาตรงนี้(บุหรี่แบ่งขายสามมวนห้าบาท
น้ำอัดลม ลูกอมฯลฯ) บางวันดีหน่อยก็ได้กำไร
สี่ห้าร้อย
บางวันก็ได้กำไรร้อยกว่าบาท
บางวันแย่ๆ
นั่งตั้งแต่สามโมงเย็นถึงสามทุ่มขายน้ำอัดลมได้สามขวด
บางวันฝนตกก็ออกมาขานไม่ได้แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
เธอก็มีบ้านเช่าเป็นที่อยู่แบบเป็นหลักแหล่งมีโทรศัพท์มืถือที่ติดต่อได้
คนต่อมาเป็นหมอดู
ที่ค่อนข้างพูดเก่ง(ตามคุณสมบัติเฉพาะของหมอดูทั่วไป)ก็ไม่ต่างจากพี่พัด
คือปัญหาในการทำมาหากินเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งมีโทรศัพท์มือถือที่จะติดต่อได้ และอีกหลายคนที่เหมือนกันอยู่โซนเดียวกัน
เวลาผ่านมาผมก็ได้รู้จักกับเพื่อนโซนคลองหลอด
เพื่อนคนนี้ชื่อ
ป
.
เพื่อนคนนี้มีอาชีพจับของเก่ามาขาย(จากปากคำที่ได้พูดคุยกันการจับของเก่าของเขาหมายถึงการซื้อมาขายไป
การขู่เพื่อให้ได้มา
รวมไปถึงการยกเค้าเพื่อให้ได้มา)เพื่อนคนนี้เช่าบ้านเป็นรายวัน วันละร้อย
มีคู่ชีวิตที่ใช้ร่างกายประกอบอาชีพ
มีแมวเป็นเหมือนลูก
เบอร์โทรศัพท์มือถือที่เขาให้ผมมาในช่วงหนึ่งอาทิตย์กว่าสามเบอร์
ซึ่งไม่มีเบอร์ไหนที่โทรกลับแล้วเจอเพื่อน ป
.
เลยสักครั้ง บางวันขายของได้ก็หมดเงินไปกับเบียร์
หรือ
ยาเสพติด
มีเงินก็ได้กลับไปนอนที่ห้องเช่ารายวัน
ไม่มีเงินก็ไม่ได้กลับ
นอนอยู่ริมคลองไม่ได้อาบน้ำ
ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า
เช่นเดียวกับเพื่อน ดำ(นามสมมติ)
เพื่อนเสริท
และอีกหลายๆคน
สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ
ทำไมเพื่อนๆที่ผมรู้จัก
อาชีพไม่แตกต่างกัน
เรียกตัวเองว่าคนสนามหลวงเหมือนกัน
แต่ทำไมมีสภาพการเป็นอยู่ที่แตกต่างกันสิ้นเชิง
หรืออาจจะเป็นที่โซนแรกเป็นโซนที่เปิด
หรือโซนรับแขก
คนที่ทำมาหากินอยู่ที่นั่นถึงแม้ว่าจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนจนแต่ก็ยังดูดีหน่อยยังสามารถเดินทำวาหากินอยู่ตรงนั้นได้(กลางสนามหลวงที่มีคำสั่งปิดตั้งแต่ห้าทุ่มถึงตีห้า)ถึงแม้จะถูกไล่บ้างเป็นบางครั้ง
ส่วนโซนที่สองเป็นมุมอับ
ถึงแม้จะเป็นคนที่ประกอบอาชีพทำมาหากินเหมือนกัน
แต่อาจจะจนกว่าจึงถูกกวาดต้อนออกจากโซนแรกอย่างเข้มงวด
เขียนใน
GotoKnow
โดย
สมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน(องค์กรสาธารณประโยชน์)
ใน
เสียงสะท้อนจากฅนด้อยโอกาส
คำสำคัญ (Tags):
#สนามหลวง
#คนชายขอบ
#โอกาส
#กระบวนการเรียนรู้
#ngos
#ปัญหาสังคม
#กิจกรรม
#คนเร่ร่อน
#อิสระ
#สังคม
หมายเลขบันทึก: 33444
เขียนเมื่อ 9 มิถุนายน 2006 14:57 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน 2012 20:57 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (1)
555
เขียนเมื่อ 9 ธันวาคม 2007 13:30 น. (
)
ดีค่ะ
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
สมาคมสร้างสรรค์ก...
สมุด
เสียงสะท้อนจากฅนด...
ความจริงที่ซ่อนอย...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท