• ที่จริงในตอนที่แล้ว น่าจะให้ชื่อตอนว่า “เรียนสองลูก” คือทั้งเรียนวิชา และเรียนตัวอย่างที่ดี โดยที่การเรียนตัวอย่างที่ดี เป็นการตีความโดยผมเองในตอนแก่ คล้ายๆ สวมแว่นส่องชีวิตตนเอง ไม่ทราบว่าเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือเข้าข้างตัวเองแค่ไหน วิญญูชนพึงอ่านโดยยึดถือกาลามสูตรนะครับ อย่าเชื่อง่ายๆ นัก ปุถุชนมักเข้าข้างตนเองเสมอ
• อาจารย์ประจำชั้น ม. ๗ คืออาจารย์จินตนา ขึ้นชั้น ม. ๘ ผมได้อยู่ห้อง ๑๔๔ มีอาจารย์วิภา รัศมิทัต เป็นอาจารย์ประจำชั้น ก็ยังเป็นห้องคิงอย่างเดิม เพื่อนจากห้อง ๒๒ ส่วนใหญ่ขึ้นมาอยู่ห้องนี้ แต่ก็มีเพื่อนบางคนย้ายไปอยู่ห้องอื่น และมีเพื่อนจากห้องอื่นตอนเรียน ม. ๗ มาอยู่กับพวกเรา เพื่อนที่เรียนด้วยกันใน ๒ ปีนี้ที่พบปะกันบ่อยที่สุดในขณะนี้ คือ คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
• ไพบูลย์ เป็นเด็กบ้านนอกจากอยุธยา มาอาศัยอยู่กับขุนวิจิตรมาตราที่ผ่านฟ้า ไพบูลย์มาชวนเพื่อนๆ รวมทั้งผมว่าท่านขุนให้มาชวนไปทดลองฝึกสมาธิเพื่อพัฒนาพลังการรับรู้ ท่านบอกว่าท่านฝึกเด็กที่เด็กกว่าพวกเราให้ “ดูทางแก้ม” ได้ คือปิดตาแต่มองเห็น บอกวัตถุที่เอามาทายได้ว่าเป็นอะไร ท่านเอาเด็กมาแสดงการ “ดูทางแก้ม” ให้พวกเราประจักษ์ด้วยตาตนเอง และบอกว่าพวกเพื่อนๆ ของผมเป็นเด็กสมองดี ท่านอยากลองว่าเมื่อฝึกสมาธิแล้วจะทำได้ยิ่งกว่า “ดูทางแก้ม” ท่านให้เรานั่งสมาธิในห้องแอร์ เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเข้าห้องแอร์ที่ไม่ใช่โรงหนัง เบาะนั่งก็สบายคล้ายโรงหนัง ผมนั่งทีไรหลับทุกที ไปอยู่ ๒ – ๓ ครั้งก็เลิกไป เพราะอายที่หลับทุกที
• ผมเรียน ม. ๘ ในสภาพที่เรียนมาแล้วเกือบหมด และยังข้ามไปเรียนของปี ๑ จุฬาฯ ด้วย เพราะพี่วิรัชเข้าเรียนคณะวิศวฯ ปี ๑ ที่จริงผมแอบอ่านหนังสือของวิศวฯ ปี ๓ ด้วย เพราะพี่วิชาเรียนอยู่ และแอบดูสมุดจดของอาตุ๊ที่กำลังเรียนแพทย์ด้วย แต่อ่านไม่รู้เรื่อง จะเห็นว่าผมโชคดีมากที่ได้ไปอยู่ในกลุ่มเด็กขยันเรียนทั้งนั้น แต่ท่านเหล่านั้นบอกว่าผมขยันกว่าเพื่อน และอ่านหนังสือ-ทำแบบฝึกหัดทนไม่เหนื่อยหรือเบื่อง่าย
• ตอนสอบมิดเยียร์ ม. ๗ จำไม่ได้ว่าผมสอบได้ที่ ๒ หรือ ๓ โดย นส. บุญช่วย สถาปัตยวงศ์ สอบได้ที่ ๑ อาจารย์กับเพื่อนๆ มากระเซ้าว่าผมออมมือ แปลกมากที่อาจารย์และเพื่อนๆ คิดว่าผมต้องได้ที่ ๑ เมื่อไม่ได้ก็ว่าออมมือ แต่พอสอบปลายปีผมก็ได้ที่ ๑ จริงๆ เพื่อนๆ บอกว่าเป็นม้าตีนปลาย จริงๆ แล้วผมก็ควบสุดฤทธิ์ แต่ตอนกลางปีมันก็ได้ดีที่สุดแค่นั้น การที่เราถูกสังคมคาดหวังมากๆ มี่ทำให้เครียดนะครับ และเราก็บ้าไปกับเขาด้วย ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง กว่าผมจะหลุดออกมาจากกระแสสังคมแบบนี้ก็เมื่อทำงานแล้วหลายปี
• ขึ้น ม. ๘ อาจารย์วิภามาบอกว่า อาจารย์ลัยอาจ ภมะลาภา รองผู้อำนวยการโรงเรียนมาบอกท่านว่าจะให้ผมไปเป็นกรรมการห้อง ๖๐ ซึ่งหมายถึงเป็นกรรมการนักเรียนประจำรุ่นนั่นเอง แต่อาจารย์วิภาคัดค้านว่าไม่ควรเอาผมไปเป็นกรรมการห้อง ๖๐ เก็บไว้ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนในฐานะนักเรียนที่สอบได้ที่ ๑ ของประเทศดีกว่า ผมฟังอาจารย์วิภาก็ตกใจยกกำลังสอง คือตกใจว่าเขาเห็นผมเป็นอะไรจึงคิดเอาไปเป็นกรรมการห้อง ๖๐ ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของลูกเศรษฐี ลูกคนมีชื่อเสียง และเป็นคนคล่องแคล่วสังคมดีพูดเก่ง ซึ่งผมมีลักษณะตรงกันข้ามหมด คล่องอยู่อย่างเดียวคือเรียนหนังสือ ตกใจที่สองคือเขามายกภาระหนักในการชิงตำแหน่งที่ ๑ ประเทศไทยมาให้เราโดยที่มีเพื่อนหัวดีกว่าเรามากมายอีกหลายคน ผมมีดีอยู่อย่างเดียวคือขยันและเรียนทน
• ผมเป็นคนชอบสังเกตข้อดีของคนอื่น จึงเห็นข้อดีและความสามารถของเพื่อนแต่ละคนมากมาย แล้วพยายามเอาอย่างมาพัฒนาปรับปรุงตัวเอง แต่ผมทำไม่ค่อยสำเร็จ จึงบอกตัวเองว่าเรื่องนี้เราไม่ถนัด ในที่สุดผมพบว่าตัวเองไม่ถนัดอะไรจริงๆ สักเรื่องเดียว จึงสงสัยอีกว่าทำไมเรียนได้คะแนนดี เพราะความจำผมไม่ดี วาดรูปไม่เป็น ร้องเพลงไม่เป็น แต่งบทกวีไม่เป็น เล่นกีฬาไม่เป็น ผมสรุปกับตนเองว่าผมดีด้านความเพียร เมื่อลูกผมเรียนหนังสือโรงเรียนเตรียมเหมือนกัน เขาบอกว่าคนที่เรียนเก่งแบบนี้เรียกว่ามีคุณสมบัติของความเป็นควาย คือเอาความอดทนและกำลังเข้าโถม แต่เมื่อ อายุผ่านมาถึง ๖๔ ผมสรุปว่าผมเด่นด้านฉันทะต่อการเรียนรู้ การเป็นคนช่างสังเกต และจิตนิ่ง ไม่รู้จะยกหางตัวเองเกินไปหรือเปล่า
• ประกาศผลการสอบประโยคเตรียมอุดมศึกษา ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ มีเพื่อนร่วมห้องเดียวกันติดบอร์ด ๕๐ คนแรกของประเทศกว่าครึ่งห้อง และผมได้ที่ ๑ ตามที่เขาเก็งกัน ได้คะแนนรวมร้อยละ ๙๔.๒ ซึ่งนับว่าสูงมาก ผมไม่คิดว่าจะได้คะแนนดีขนาดนี้ ผมคิดว่าเป็นผลของการที่ผมเรียน ม. ๘ สองปีซ้อนนั่นเอง คือตอนเรียน ม. ๗ ก็ได้เรียน ม. ๘ ล่วงหน้าไปแล้ว ผมสรุปกับตัวเองว่าการสอบได้ที่ ๑ ไม่ได้หมายความว่าเราเก่งที่สุด
วิจารณ์ พานิช
๒๗ พค. ๔๙
ไม่มีความเห็น