บันได 10 ขั้น
สำหรับการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและเจริญรุ่งเรือง
1) ต้องมี ความเชื่อและศรัทธาในศาสนาพุทธ
ก่อนเป็นอันดับแรก (อันนี้สำคัญมาก)
จากนั้นก็ศึกษาหนังสือเกี่ยวกับ “การจัดการตน
คนและงาน” (ข้อนี้อาจจะข้ามไปก่อนได้ถ้าคุณเข้าใจหลัก
สัปปุริสธรรม นั้นคือ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน
รู้จักกาล รู้จักสังคม รู้จักผู้อื่นเหมือนคำพูดที่คนทั่วไปมักพูดว่า
“รู้เขารู้เรา
รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”)
http://www.geocities.com/sakyaputto/subpurisatham.htm
2) พยายามปฏิบัตตามหลัก
มงคล ๓๘
ทำตัวให้สมกับการเป็น บัณฑิตที่ดี กล่าวคือต้องรู้ กตัญญู
(รู้คุณที่ผู้อื่นได้ทำให้แก่ตน) อัตตสุทธิ (ทำตนเองให้บริสุทธิ์) ปริสุทธิ
(ช่วยบุคคลอื่นให้บริสุทธิ์) และสังคหะ (ให้ความสงเคราะห์แก่คนทั้งหลาย)
http://www.dhammathai.org/treatment/poem/poem21.php
3) เข้าใจเกี่ยวกับธรรมะเบื้องต้นเหล่านี้ เช่น สัมมาทิฏฐิ (รู้ว่ามีปัจจัย 2 อย่างคือปัจจัยภายใน
โยนิโสมนสิกา และปัจจัยภายนอก
กัลยาณมิตร) อิทธิบาท 4 สังคหะวัตถู 4 ทิศ 6 ความหมายของกัลญาณมิตร
นิวรณ์ 5 กิเลส ตัณหา
กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ความหมายของ จุดมุ่งหมาย ๓
ขั้นและสามด้านของชีวิต รู้ว่ามิตรแท้ มิตรเทียมเป็นอย่างไร
(หาอ่านได้จากหนังสือ ธรรมนูญชีวิต)
http://www.dhammathai.org/book/dhammanoon.php
4) ต้องเป็นอยู่อย่าง ไม่ประมาท(อันนี้สำคัญเช่นกัน)
และมีความเพียรอย่างสูงเหมือนอย่าง พระมหาชนก
http://www.moe.go.th/main2/article/p-maha.htm
5) ต้องเข้าใจวิธีคิด โยนิโสมนสิการ http://mylesson.swu.ac.th/hm102/hm102_lesson8.htm
6) พยายามรักษาศึลห้าอยู่เสมอ (เว้นฆ่าสัตว์
เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดในกาม เว้นพูดปด เว้นของเมา)
7) ให้ยึดหลัก ฆารวาสธรรม 4 และ
บารมี 10
เป็นหลักในการดำเนินชีวิต
http://www.larnbuddhism.com/grammathan/barame1.html
8) ต้องเข้าใจหลักของ ไตรลักษณ์ (อนิจัง ทุกขัง อนัตตา)
http://www.school.net.th/library/create-web/10000/religion/10000-9468.html
9) ต้องเข้าใจคำว่า ญาณวิทยา เพื่อให้เข้าใจหลัก
กาลามสูตร
http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0415150748&srcday=2005/07/15&search=no
10) ขั้นสุดท้ายก็คงต้องฝึกดูจิต (ฝึกตาม links ด้านล่าง) รู้จักแยก
จิตออกจากความคิดโดยใช้สติเป็นตัวกั้นตรงกลาง
เช่นอาจยึดวิธีตามหลัก มหาสติปัฏฐาน 4 (ต้องนี้ทำให้รู้เรื่อง พฤติกรรมของจิต
เรียกว่า จริตของคน และจะทำให้เราเ้ข้าใจว่าทำไมเราถึงคิดมาก คิดลึก
คิดแล้วคิดอีก คิดวิตกกังวลและคิดฟุ้งสานอยู่ตลอดเวลาซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียสติหรือบ้าไปเลย)
หรือจะยึดหลัก "อานาปานสติ
ซึ่งเป็นกรรมฐานหรือสมาธิภาวนาแบบที่พระพุทธองค์
ได้ปฏิบัติและตรัสรู้ก็ได้" (ซึ่งตรงนี้ผมคัดลอกมาจากหนังสือ
คู่มืออานาปานสติ โดย พุทธทาสภิกขุ ๒๕๔๕, ISBN: 974-497-554-7)
1) อ่านประโยชน์และหลักการของการฝึกดูจิตที่นี้ก่อนครับ
(Usefulness &
Reasoning)
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001773.htm
2) เรียนรู้วิธีฝึกปฏิบัติง่ายโดยดูที่ Link ด้านล่างนี้ (the easiest approach to reach the basic
principle is to look at this link). http://www.kanlayanatam.com/voice/DrV.htm
สุดท้ายจำไว้เสมอว่า
ต้องศึกษาจิต
รู้ทันความคิดโดยใช้สติมาเป็นตัวกั่นไม่ให้เกิดความทุกข์
Acknowledgement: ขอขอบพระคุณอย่างสูงต่อ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ที่เป็นแหล่งสร้าง สนับสนุนและส่งเสริมผมให้เดินทางมาถึงจุดนี้ได้ร่วมทั้งท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายด้วย (โดยเฉพาะ อาจารย์ที่ภาควิชาของผม ร่วมทั้งอาจารย์จากมหาวิทยาลัยอื่นๆด้วยเช่น อาจารย์ อ อาจารย์ จ อาจารย์ ด และอาจารย์ ท) ผมจะตั้งใจสร้างบุญสร้างบารมีต่อไปครับเพื่อประโยชน์สุขต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศชาติและสังคมโลก
ถ้าจะให้ดีช่วยกรุณานำไปบอกต่อด้วยครับ จะเป็นการดีอย่างยิ่ง
โดยยึกหลักบารมี 10 และทำตัวเป็น กัลยาณมิตร แต่ต้องไม่ลึมที่จะใช้หลัก กาลมสูตร และรู้ตัวอย่างมีได้ผ่านกระบานการ รู้สึกว่ามันดี เมื่อเปรียบเทียบกับประสพการณ์ที่ผ่านมา แต่ให้รู้คิดโดยไม่ยึดติดนะครับ สุดท้ายก็ปลงซะเดียวนั้นเพราะรู้แจ้งแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็น อนิจจังไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาโดยให้(เข้าใจว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น คงอยู่ด้วยขณะ และดับไป)
|
เป็นข้อคิดที่ดีครับ
ผมก็ศึกษาเรื่องนี้เหมือนกัน และมี เว็บไซต์อยู่ด้วย
เป็นเว็ปพุทธวิธีบริหาร
ขอบคุณมากๆเป็นประโยชน์จริงๆ
(แต่ลิงค์บ้างตัวไม่สามารถเปิดได้)
ขออนุโมทนาสาธุๆๆ