ในสังคมปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการอ่านมีความสำคัญและจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีความจำเป็นที่ต้องใช้การอ่านตลอด ทั้งในเรื่องส่วนตัว หรือด้านการทำงานในแต่ละวัน ถ้าหากมีรากฐานการอ่านที่ดีก็จะทำให้สื่อความหมายและสื่อภาษาจากสิ่งที่อ่านได้เร็วและเข้าใจมากขึ้น ในสังคมที่มีความเจริญจะพบว่าสังคมนั้นมีการอ่านมากเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นได้จากการจัดการศึกษาภาคบังคับของประเทศไทย ก็ได้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนทุกคนอ่านออก เขียนได้เป็นสิ่งแรก เพราะขั้นตอนต่อไปของการเรียนการสอนต้องใช้การอ่านเป็นพื้นฐาน ถ้านักเรียนอ่านไม่ได้ก็ไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนได้ โดยเฉพาะการเรียนการสอนในปัจจุบัน เน้นให้นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมหรือค้นคว้าด้วยตนเองมากขึ้น ดังนั้นการส่งเสริมการอ่าน จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)พุทธศักราช 2545 ได้ให้ความสำคัญการส่งเสริมการอ่าน จึงได้กำหนดไว้ในมาตรา 24 (3) และ (5 ว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติจริง ทำให้ได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง โดยส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอนจัดบรรยากาศ สื่อการสอน และอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546 :12)
ปัจจุบันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีนิสัยรักการอ่านและไม่รู้จักใช้การอ่านเพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนการอ่านยังเกิดขึ้นน้อย ซึ่งพบว่าในแต่ละปีมีการอ่านหนังสือเฉลี่ยไม่เกิน 8 บรรทัด ถ้าหากนำตัวเลขนี้ ไปเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วอัตราส่วน การอ่านยังห่างกันอยู่มาก ซึ่งส่งผลให้ความเจริญก้าวหน้าของประเทศและการประดิษฐ์คิดค้น ผลงานใหม่ๆ จึงห่างเขาอยู่หลายเท่าตัว ส่วนนี้จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานจัดการศึกษาทุกภาคส่วน ที่จะต้องหาวิธีการร่วมกันสร้างนิสัยให้เด็กและเยาวชนมีนิสัยรักการอ่านอย่างถาวรเกิดขึ้นให้ได้ (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต3, 2550 : บทนำ)
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงศึกษาธิการจะได้รณรงค์ด้านการส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่อง แต่นิสัยรักการอ่านของเด็กและเยาวชนก็ยังเกิดขึ้นได้ไม่มากเท่าที่ควร จากการสัมมนาระดับชาติว่าด้วยเรื่อง “ การรณรงค์เพื่อการพัฒนาการอ่าน” พบว่า สาเหตุประการหนึ่ง คือ “ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่โรงเรียนจำนวนไม่น้อย จัดขึ้นไม่เป็นที่น่าสนใจของนักเรียนหรือขาดความทันสมัยไม่ตรงกับความต้องการของนักเรียนรวมถึงการส่งเสริมการอ่านยังไม่เกิดขึ้นทั้งระบบ การส่งเสริมการอ่านยังเป็นหน้าที่ของครูภาษาไทยหรือครูที่รับผิดชอบห้องสมุดเท่านั้น การที่จะทำให้นักเรียนในโรงเรียนเกิดนิสัยรักการอ่านอย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือร่วมใจกันปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และนำการอ่านมาบูรณาการในการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3, 2550 : 8 ) การที่จะกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนหันมาสนใจการอ่านมากขึ้น การจัดกิจกรรมที่ตรงกับความสนใจอย่างต่อเนื่องจึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนานักเรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา
โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ เดิมสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานนทบุรี เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และได้รับถ่ายโอนภารกิจด้านการจัดการศึกษามาสังกัดเทศบาลตำบลปลายบาง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ปัจจุบันเปิดทำการเรียนการสอนนักเรียน ในระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในปีการศึกษา 2551 มีนักเรียนจำนวน 77 คน ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 13 คน โรงเรียนได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ซึ่งได้กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายของโรงเรียนไว้อย่างชัดเจน โดยใช้หลักการบริหารงานแบบการกระจายอำนาจ ครูและบุคลากรทุกคนมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรม มุ่งเน้นการสร้างเด็กและเยาวชนให้มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง รักความเป็นไทย มีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ มีคุณธรรมนำความรู้ สู่ความพอเพียง
จากรายงานผล การประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รอบที่สองของโรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) พบว่ามาตรฐานการศึกษาด้านผู้เรียน มาตรฐานที่ 6 ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตัวบ่งชี้ที่ 6.1 ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน สนใจแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆรอบตัวและตัวบงชี้ที่ 6.2 ผู้เรียนใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สนุกกับการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ มีผลการประเมินในระดับคุณภาพ “พอใช้” และได้เสนอแนะให้โรงเรียนจัดกิจกรรมส่งเสริมหลักสูตรให้หลากหลาย เช่น จัดโครงการส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมบันทึกยอดนักอ่าน กิจกรรมตอบปัญหาสารานุกรมไทย การพานักเรียนไปทัศนศึกษานอกสถานที่และให้ผู้เรียนได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้พบ ในชีวิตประจำวันมารายงานหน้าชั้นเรียน ( สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2550 : 50 ) นอกจากนี้โรงเรียนยังพบว่า นักเรียนบางส่วนยังขาดความกระตือรือร้นในด้าน การไขว่คว้า ศึกษาหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่โรงเรียนจัดให้ ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน การประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา จากข้อค้นพบของโรงเรียน และข้อเสนอแนะของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาดังกล่าว ผู้ประเมินในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา ได้รวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุปผล เพื่อกำหนดทิศทาง การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผู้เรียนของโรงเรียนในประเด็นดังกล่าว จึงได้จัดทำ โครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่านขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมหลักสูตรการศึกษา ด้านการเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านของนักเรียน จำนวน 11 กิจกรรม โดยใช้รูปแบบการประเมิน แบบซิปป์ (CIPP Model) ของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) ซึ่งมีกรอบการประเมิน 4 ด้าน คือด้านบริบท ด้านปัจจัย ด้านกระบวนการและด้านผลผลิต โดยให้ครูทุกคนได้มีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ ผู้ประเมินเป็นผู้นิเทศติดตาม ให้ความช่วยเหลือการดำเนินโครงการ ผู้ปกครองร่วมกันประเมินผลผลิตด้านพฤติกรรมการอ่านของนักเรียน และให้นักเรียนประเมินความพึงพอใจเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการ โดยมีความมุ่งหวังว่าการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวจะส่งผลให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สนุกกับการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นหลักประกัน ในการพัฒนาคุณภาพนักเรียนโรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ ให้เป็นที่ยอมรับต่อชุมชนและสังคมได้ในอนาคต
วัตถุประสงค์ของการประเมิน
1. เพื่อประเมินด้านบริบท โครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์
2. เพื่อประเมินด้านปัจจัย โครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์
3. เพื่อประเมินด้านกระบวนการ โครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์
4. เพื่อประเมินด้านผลผลิต โครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ ใน 2 ด้าน ดังนี้
4.1 ด้านพฤติกรรมการอ่านของนักเรียน
4.2 ด้านความพึงพอใจของนักเรียนในการเข้าร่วมโครงการ
ขอบเขตของการประเมิน
เพื่อให้การประเมินโครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ เกิดประโยชน์ต่อโรงเรียนมากที่สุด จึงได้กำหนดขอบเขตของการประเมิน ดังนี้
1. รูปแบบการประเมินโครงการ ผู้ประเมินได้กำหนดขอบเขตการศึกษาจากเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และนำรูปแบบการประเมินโครงการแบบซิปป์ (CIPP Model)ของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) เป็นกรอบแนวคิดในการประเมิน 4 ด้าน ดังนี้
1.1 การประเมินด้านบริบท (Context Evaluation) เป็นการประเมินที่จะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจ กำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการให้เหมาะสม
1.2 การประเมินด้านปัจจัย (Input Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความเพียงพอของทรัพยากร ที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ
1.3 การประเมินด้านกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการตัดสินใจในด้านกระบวนการทำงานเพื่อการปรับปรุงแก้ไข ควบคุมการทำงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดให้ได้ผลดีที่สุด
1.4 การประเมินด้านผลผลิต (Product Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อการทบทวนโครงการ โดยอาศัยผลการประเมินที่เกิดขึ้นประกอบการตัดสินใจ
2. ประชากรที่ใช้ในการประเมินโครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ ประกอบด้วย ครู นักเรียนและผู้ปกครอง รวมทั้งสิ้น 121 คน
นิยามศัพท์เฉพาะ
การประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการรวมพลัง สร้างนิสัยรักการอ่าน ครอบคลุมการประเมินใน 4 ด้าน คือ
1. การประเมินด้านบริบท (Context Evaluation) หมายถึง การประเมินความสอดคล้อง หรือความเหมาะสมของโครงการกับนโยบายด้านการจัดการศึกษา สภาพปัญหาของโรงเรียน ด้านการอ่านของนักเรียน ความคาดหวังและความต้องการของผู้ปกครอง
2. การประเมินด้านปัจจัย (Input Evaluation) หมายถึง การประเมินความพร้อม และความเพียงพอของทรัพยากรด้านบุคลากร งบประมาณ อาคารสถานที่ ระยะเวลา สื่อ และวัสดุอุปกรณ์
3. การประเมินด้านกระบวนการ (Process Evaluation) หมายถึง เป็นการประเมินผล การปฏิบัติงานตามขั้นตอนการดำเนินงานตามโครงการ การมีส่วนร่วมของผู้บริหาร ครู นักเรียน โดยครูผู้รับผิดชอบกิจกรรมเป็นผู้รายงานผลการดำเนินการ ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะ
4. การประเมินด้านผลผลิต (Product Evaluation) หมายถึง การประเมินเกี่ยวกับผลสำเร็จของโครงการโดยการประเมินด้านพฤติกรรมการอ่านของนักเรียน และการประเมินความพึงพอใจของนักเรียน เกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการ
โครงการ หมายถึง โครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์
รวมพลัง หมายถึง ความร่วมมือกันระหว่างครู ผู้ปกครองในการจัดกิจกรรมเพื่อการแก้ปัญหาและสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่นักเรียนโรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์
สร้างนิสัย หมายถึง การนำกิจกรรมมาใช้ในการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของนักเรียนให้มีนิสัยรักการอ่าน ด้วยกิจกรรมการอ่าน 11 กิจกรรมอันประกอบด้วย กิจกรรมที่ 1 สามฐานแห่งการเรียนรู้ กิจกรรมที่ 2 คู่หูคู่ฮา กิจกรรมที่ 3 สารานุกรมแสนดี กิจกรรมที่ 4 เที่ยงนี้มีคำตอบ กิจกรรมที่ 5 น้องชอบฟังนิทาน กิจกรรมที่ 6 วางทุกงานอ่านทุกเรื่อง กิจกรรมที่ 7 คุยเฟื่องเรื่องข่าว กิจกรรมที่ 8 เรื่องเล่าสวนพฤกษา กิจกรรมที่ 9 ปริศนาน่าสนุก กิจกรรมที่ 10 แสนสุขที่ห้างสรรพสินค้า และกิจกรรมที่ 11 นานาสารพัน
นิสัยรักการอ่าน หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสนใจในการอ่าน การใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือ การใช้บริการห้องสมุดและแหล่งเรียนรู้ การรู้คุณประโยชน์ของการอ่าน และความรู้สึกที่ดีต่อการอ่าน
โรงเรียน หมายถึง โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ อำเภอบางกรวยจังหวัดนนทบุรี
ครู หมายถึง ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับผิดชอบการจัดกิจกรรม ตามโครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ ปีการศึกษา 2551
นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ ปีการศึกษา 2551
ผู้ปกครอง หมายถึง ผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์ ปีการศึกษา 2551
ความพึงพอใจของนักเรียน หมายถึง ความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อการเข้าร่วมกิจกรรมตามโครงการรวมพลังสร้างนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาลปลายบางวัดโบสถ์
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เพื่อนำผลที่ได้รับจากการประเมินโครงการไปวางแผนการจัดกิจกรรมพัฒนานักเรียนด้านการอ่านและพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ
2. เพื่อนำผลที่ได้รับจากการประเมินโครงการไปพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนและโรงเรียน
3. นักเรียนมีนิสัยรักการอ่าน สนใจใฝ่เรียนรู้มากขึ้น
กิจกรรมรักการอ่าน 11 กิจกรรมน่าสนใจมากค่ะ จะนำไปเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมที่โรงเรียนค่ะ