เรื่องเริ่มที่ “เน็ตช้า”
การใช้งานอินเทอร์เน็ตจากออฟฟิศช้ามาก และที่ทุกคนต้องการเหมือนกันคือ
“ให้มันเร็วขึ้น” เพื่อจะได้ทำงานได้เร็วขึ้น
ใช้เวลาทุกวินาทีได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ทำงานได้อย่างราบรื่น
ไม่สะดุด ไม่ต้องรอ
ซึ่งฝ่ายไอทีเสนอให้อัพเกรดระบบเน็ตเวิร์คภายในองค์กร
จากของเก่าซึ่งเป็นอีเธอร์เน็ตแลน หรือแลนแบบมีสาย ไปเป็นแลนไร้สาย
หรือไวร์เลสแลน หรือ Wi-Fi
โดยให้เหตุผลว่ามันจะช่วยให้เน็ตเร็วขึ้น
คำถามคือ
“การอัพเกรดเครือข่ายภายในองค์กรช่วยให้การดาวน์โหลดสิ่งต่างๆจากอินเทอร์เน็ตเร็วขึ้น
... จริงหรือ???”
อินเทอร์เน็ต
แท้จริงแล้วก็คือเน็ตเวิร์คของเน็ตเวิร์ค
เป็นการต่อเชื่อมเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
จนกลายเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ครอบคลุมไปทั่วโลก
เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อให้เข้าใจการทำงานของอินเทอร์เน็ตและรู้ถึงเหตุที่แท้จริงของ
“เน็ตช้า”
เราจึงควรทำความรู้จักกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้นกันสักนิด
ระบบสื่อสารข้อมูล
ย้อนหลังกลับไปสัก 40
ปีก่อน เครือข่ายคอมพิวเตอร์เกิดขึ้น
เพราะมีคนต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์คุยกันได้
เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนหรือรับส่งข้อมูลกันได้อย่างสะดวก
แทนที่จะก็อปปี้ไฟล์ใส่แผ่นดิสก์แล้วนำไปก็อปปี้ลงเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้งหนึ่ง
ก็เป็นการส่งถึงกันโดยตรง
และการที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะคุยกันได้ก็จำเป็นต้องมีครบทั้ง 4
องค์ประกอบ ได้แก่ 1. เครื่องคอมพิวเตอร์ 2.
อุปกรณ์รับส่งสัญญาณข้อมูล 3.
สาย/สื่อสัญญาณ และ 4.
ซอฟต์แวร์ควบคุม
ในยุคแรก
ระบบสื่อสารข้อมูลจะเป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า
Host-Terminal
เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยนั้นเป็นเมนเฟรม หรือเรียกว่า Host
คุณสมบัติของ Host คือสามารถรองรับผู้ใช้ได้พร้อมกันหลายๆคน
โดยผู้ใช้แต่ละคนจะสื่อสารกับ Host
ผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีหน่วยประมวลผลในตัวเรียกว่า
Terminal ซึ่งมีหน้าที่เพียงรับข้อมูลจากคีย์บอร์ดส่งผ่านไปยัง Host
เพื่อประมวลผล และรับผลลัพธ์จาก Host กลับมาแสดงบนจอภาพเท่านั้น
การสื่อสารระหว่าง Host
กับ Terminal ก็เป็นรูปแบบง่ายๆ
ผ่านสายโทรศัพท์ที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป
แต่เพราะโทรศัพท์เป็นระบบอนาล็อก
และเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นระบบดิจิตอล
ดังนั้นจึงต้องมีตัวแปลงสัญญาณระหว่างอนาล็อกกับดิจิตอลเข้ามาคั่นอยู่ตรงกลางเพื่อให้ระบบสื่อสารข้อมูลเป็นไปได้
อุปกรณ์แปลงสัญญาณดังกล่าวนั้น เราทุกคนคุ้นเคยกันดีในชื่อ
โมเด็ม (Modem; Modulator-Demodulator)
โมเด็มยุคแรกจะมีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลสูงสุด
หรือแบนด์วิธ (Bandwidth) เพียง 300 bps (บิตต่อวินาที)
ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการในสมัยนั้น
ขณะที่ช่องสัญญาณเสียงบนสายโทรศัพท์มีแบนด์วิธอยู่ที่ 3,000Hz
หรือประมาณ 30,000 bps หรือ 30kbps (กิโลบิตต่อวินาที)
เมื่อเทียบกันแล้วจะเห็นว่าแบนด์วิธของช่องสัญญาณเสียงบนสายโทรศัพท์ใหญ่กว่าแบนด์วิธของโมเด็มถึง
100 เท่า นั่นไม่มีปัญหา แต่น่าสังเกต
ปี 1984
โมเด็มเริ่มมีวิวัฒนาการ แบนด์วิธถูกปรับให้กว้างขึ้น จาก 300bps เป็น
1,200 bps, 2,400 bps, 9,600 bps, 19.200 kbps, 28.8 kbps และ 33.6
kbps ตามลำดับ และที่กำลังเป็นที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบันคือ 56 kbps
ขณะที่แบนด์วิธช่องสัญญาณเสียงบนสายโทรศัพท์ยังคงเท่าเดิมที่ 30
kbps
จะสังเกตได้ว่า
แบนด์วิธของโมเด็ม 56k
ใหญ่กว่าแบนด์วิธของช่องสัญญาณเสียงบนสายโทรศัพท์เกือบ 2
เท่า แต่ที่ยังเป็นไปได้ก็เพราะใช้เทคนิคเข้าช่วย
เทคนิคนี้มีชื่อว่า Quadrature Amplitude Modulation
(QAM) และ 56 kbps
ก็เป็นแบนด์วิธที่สูงที่สุดแล้วสำหรับการส่งผ่านข้อมูลผ่านช่องสัญญาณเสียงบนสายโทรศัพท์โดยใช้เทคนิคนี้
สัญญาณกวน
การส่งผ่านข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ด้วยความเร็วสูงจะทำให้เกิดสัญญาณรบกวน
(Noise) ขึ้น
จนบางครั้งทำให้ข้อมูลที่รับส่งเกิดความคลาดเคลื่อน บิดเบือน ผิดพลาด
และต้องมีการส่งข้อมูลซ้ำเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกันระหว่างเครื่องส่งกับเครื่องรับ
ประเด็นคือ ถ้าต้องมีการส่งข้อมูลซ้ำบ่อยๆ
เวลาที่ใช้ในการส่งไฟล์ข้อมูลหนึ่งก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
ซึ่งบางครั้งก็อาจนานจนทำให้ใครหลายๆคนหงุดหงิด โดยเฉพาะไฟล์ขนาดใหญ่
เช่น รูปภาพ
การแก้ปัญหานี้มี 2 วิธี
วิธีแรกคือเปลี่ยนสายโทรศัพท์ไปใช้เกรดที่ดีขึ้น
ซึ่งระดับสัญญาณรบกวนจะต่ำลง
แต่วิธีนี้คงเป็นไปได้ยากเพราะไม่คุ้มสำหรับผู้ให้บริการเครือข่าย
ดังนั้นวิธีที่เป็นไปได้มากที่สุดจึงเป็นการลดความเร็วในการรับส่งข้อมูลลง
วิธีนี้จะช่วยให้ระดับสัญญาณรบกวนลดลงเช่นกัน
สังเกตว่าโมเด็มความเร็วสูงส่วนใหญ่จะสามารถปรับเพิ่มหรือลดความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้โดยอัตโนมัติ
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการทำงานนั้นๆ
นี่คือคำตอบว่าทำไมเวลาเราต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโมเด็ม
56k แล้ว จึงไม่เคยเชื่อมต่อได้ที่ความเร็ว 56 kbps
เลยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 48-52 kbps
เท่านั้น อย่างไรก็ตามแบนด์วิธที่สูงกว่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้
แต่อุปกรณ์ที่ใช้ต้องมีคุณภาพสูงสุด
ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเฉพาะในห้องแล็บเท่านั้น และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของ
“เน็ตช้า”
ทั้งนี้กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มอุตสาหกรรมการสื่อสาร
(Electronic Industry Association/Telecommunication Industry
Association; EIA/TIA) ได้กำหนดมาตรฐานสาย Unshielded Twisted
Pair (UTP) เอาไว้ 5 ประเภทด้วยกันคือ 1. Voice
Only (Telephone Wire) 2. Data to 4 Mbps
(LocalTalk) 3. Data to 10 Mbps (Ethernet) 4.
Data to 20 Mbps (16 Mbps Token Ring) และ 5.
Data to 100 Mbps (Fast Ethernet)
ซึ่งสายโทรศัพท์ทั่วไปจัดอยู่ในประเภทที่ 1
ADSL
(Asymetrical Digital Subscriber Line) คือวิวัฒนาการล่าสุดของโมเด็ม
เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถใช้สายโทรศัพท์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
ว่ากันว่าเทคโนโลยี ADSL
ให้เราสามารถดาวน์โหลดข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตได้ด้วยความเร็วสูงสุดถึง
8 Mbps (เมกะบิตต่อวินาที) ทีเดียว เราจะมาเจาะลึกเทคโนโลยี ADSL
กันในคราวต่อไป
|