• เรื่องที่ ๒ เป็นเรื่องเล่าของคุณบุษบงก์ ชาวกัณหา แห่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่โดยอาชีพเป็นพยาบาลวิชาชีพ แต่โดยใจเป็นเอ็นจีโอ คลำหาตัวตนผ่านโครงการชีวิตสาธารณะ – ท้องถิ่นน่าอยู่ เพื่อทำให้พื้นที่ปราจีนบุรีน่าอยู่ คลำอยู่ตั้งปีหนึ่งจึงพบว่าเอาเรื่องการจัดการลุ่มน้ำน่าจะดีที่สุด ผมถามคุณบุษบงก์ว่าทีมกลางมีกี่คน ตอบว่า ๘ คน และเวลาไปจัดเวทีตามสถานที่ต่างๆ จะมีชาวบ้านมาร่วมครั้งละ ๓๐ – ๔๐ คน ผมเห็นกระบวนการทบทวน “ความรู้มือสอง” (คำของคุณบุษบงก์) นำมาใช้แล้วเกิด “ความรู้มือหนึ่ง” จากการนำไปใช้ และการ ลปรร. ในประชาคมปราจีน และการซึมซับความรู้มาจากฝ่ายราชการ วิชาการ และจากผู้มีความรู้ในพื้นที่ มองจากมุมของผมทีมของคุณบุษบงก์ขับเคลื่อนภาคีในพื้นที่เพื่อท้องถิ่นน่าอยู่ผ่านการจัดการลุ่มน้ำปราจีน ซึ่งพอทำเข้าจริงๆ กลายเป็นเครือข่ายลุ่มน้ำ คือโยงไปยังลุ่มน้ำบางปะกง และโตนเลสาบ ของเขมร ที่เชื่อมโยงมาถึงลุ่มน้ำปราจีน ผมมองเห็น “การจัดการความรู้” ผ่านแดนของกลุ่มผู้คนที่หลากหลายในพื้นที่
คุณบุษบงก์ ชาวกัณหา
ผู้ประสานงานโครงการชีวิตสาธารณะ - ท้องถิ่นน่าอยู่ จ.
ปราจีนบุรี
• เรื่องที่ ๓ เล่าโดยอดีตพยาบาลที่ลาออกมาทำงานธุรกิจ
และงานประชาคม คุณเพลินใจ เลิศลักขณวงศ์ ผู้ประสานโครงการแม่สอด จ.
ตาก ในโครงการชีวิตสาธารณะ – ท้องถิ่นน่าอยู่ ของ
สสส. โดยเล่า ๒ เรื่อง (๑)
การปนเปื้อนแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว
ซึ่งในที่สุดขยายเป็นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่ตาว
คือมองทั้งระบบ (๒)
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน
คำพูดของคุณเพลินใจที่ผมซึ้งมากที่สุดคือทีทำเรื่องนี้เพราะเชื่อในความเป็น
“พลเมือง” ต้องเป็นพลังให้แก่บ้านเมือง
คุณเพลินใจ เลิศลักขณวงศ์
ผู้ประสานงานโครงการชีวิตสาธารณะ - ท้องถิ่นน่าอยู่ อ.
แม่สอด จ. ตาก
• เรื่องที่ ๔ การจัดทำแผนชุมชนแบบมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนา จ.
กาฬสินธุ์ นำเสนอโดยทีม ๕ คน
พิเศษกว่าจังหวัดอื่นตรงมีปลัดจังหวัดและพระมาร่วมนำเสนอด้วย
สองพยาบาลผู้มีจิตสาธารณะ
คุณนิตยา ธีรทัศน์ศิริพจน์ (คนกลาง) ผู้ประสานงานองค์กรภาคประชาชน จ. กาฬสินธุ์ และทีมงานขนาบซ้ายขวา
พระมหาสุภาพ พุทธวิริโย
ศูนย์พัฒนาคุณธรรม จ. กาฬสินธุ์ และนายประสิทธิ์ คชโคตร
ปลัดจังหวัดกาฬสินธุ์
• คุณทรรศิน สุขโต
ให้ความเห็นที่น่าสนใจมากว่า
ชาวบ้านคิดและพูดด้วยภาษาประสบการณ์
ซึ่งต่างจากภาคราชการและวิชาการ
ซึ่งพูดด้วยภาษาข้อมูลตัวเลขและทฤษฎี
• ผมมองว่าสภาพเดิมในพื้นที่ชาวบ้านขาดการรวมตัวกัน
มุ่งแต่พึ่งราชการ
เวลามีปัญหาก็รอหรือเรียกร้องให้ราชการมาแก้
แต่ในการประชุมนี้เราเห็นภาพใหม่
ที่คนในพื้นที่รวมตัวกัน ทั้งที่เป็นชาวบ้าน (ภาคประชาสังคม)
ราชการ ภาควิชาการ และภาคอื่นๆ เช่นพระ
เพื่อร่วมกันทำความเข้าใจพื้นที่ และร่วมกันทำกิจกรรมพัฒนาพื้นที่
และเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัตินั้น
การจะเกิดสภาพเช่นนี้ได้ต้องการแกนนำ และกิจกรรมที่ทำหน้าที่ “กาวใจ”
และ “ชวนทำ” “ชวน ลปรร.”
• ผมเกิดความหวัง
ว่าประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนไปสู่สังคมเรียนรู้ /
สังคมที่มีความรู้เป็นฐาน / สังคมอุดมปัญญา ได้
เพราะเราเห็นหน่ออ่อนของภาพดังกล่าวใน ๔
จังหวัดที่มานำเสนอในวันนี้
เราเห็นความไว้วางใจระหว่างคนต่างภาคส่วนในพื้นที่ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ
KM ผมเห็นว่า KM
เริ่มกระจายไปสนองความต้องการของพื้นที่ในสังคมไทย สมเจตนารมณ์ของ
สคส. แต่ไม่ใช่โดยฝีมือของ สคส. โดยตรง
ผมจึงมีความสุขมาก
• ที่ สคส.
จัดการประชุมในวันนื้ก็เพื่อให้กลุ่มผู้สร้างนวัตกรรมการพัฒนาในพื้นที่แบบทำกันเป็นพหุภาคี
จากหลายจังหวัดได้มา ลปรร. กัน
และหวังให้เชื่อมเครือข่าย ลปรร. ความรู้ปฏิบัติ
กันต่อไป ผมได้แนะนำให้ใช้ บล็อก gotoknow.org
เป็นเครื่องมือ ลปรร. ความรู้ฝังลึกกันด้วย อ.
วิไลลักษณ์ อยู่สำราญ แห่ง มธ. ลำปางได้ช่วยเล่าประสบการณ์การใช้
บล็อก กระตุ้นการเรียนรู้และการจดบันทึกของชาวบ้านสั้นๆ ด้วย
วิจารณ์ พานิช
๓๐ พค. ๔๙
ไม่มีความเห็น